lørdag 24. oktober 2015

Grand opening Inspiring Stories WorldWide with Kanoknapat Suksong

สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นวันดี วันแรกของการเปิดตัวเพจ  Inspiring Stories WorldWide ซึ่งเป็นเพจที่รวบรวมเรื่องราวและบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ข้อคิด ให้มุมมองที่แตกต่าง ให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้ยิ้ม ให้เราได้รู้สึกดี ให้เราได้หันกลับมามองตัวเอง เราเชื่อว่าคนทุกคนมีความพิเศษในตัวเอง เราเชื่อว่าสถานการณ์ เหตุการณ์หลายๆ อย่าง สามารถจุดประกายให้ใครหลายคนได้คิด ได้มุมมองแปลกใหม่ เราขอเปิดตัวเพจ ด้วยเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อ กนกนภัส สุขสง  


สวัสดีค่ะ เห็นของกินแล้วขอยิงคำถามรัวๆ เลยนะคะ(เอ๊ะเกี่ยวกันตรงไหน? ฮ่าฮ่า:) เป็นใครมาจากไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหนคะตอนนี้
สวัสดีค่ะ  ชื่อกนกนภัส สุขสง ชื่อเล่น จี เกิดที่จังหวัดสงขลา  แต่เนื่องด้วยคุณพ่อกับคุณแม่ต้องไปช่วยราชการที่จังหวัดสตูล ซึ่งขาดแคลนครูในสมัยนั้น ก็เลยใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ในจังหวัดสตูล ขณะนี้พำนักอยู่ในประเทศนอร์เวย์ (ตั้งแต่ปี 2009และทำงานในตำแหน่ง Business Controller ในบริษัทเรือส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ  ในออสโลค่ะ

ไม่ทราบเรียนอะไร ทำไมเลือกทำงานสายนี้คะ
ในระดับปริญญาตรี  เลือกเรียนสาขาเอกการบัญชี และสาขาวิชาโทพาณิชย์นาวี (ชิปปิ้งเพราะชอบทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับงานระหว่างประเทศ  ในระดับปริญญาโท   เลือกเรียนสาขา MSc International Marketing and Management เพราะเป็นการต่อยอดความรู้จากสายงานที่ทำ คือ การค้าการพานิชย์ระหว่างประเทศ 

ทำไมตัดสินใจเลือกประเทศนอร์เวย์คะ
สาเหตุที่มาอยู่ประเทศนอร์เวย์  ต้องย้อนกลับไปในปี 1997 ตอนนั้นมีโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน (AFS Interculteral Exchange Programme) ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนสอบคัดเลือก และหากผ่านเกณฑ์ที่เขากำหนด กล่าวคือ ต้องมีความรู้ความสามารถด้านภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และมีปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้  ก็จะได้เข้าร่วมโครงการ  สมัยนั้นจังหวัดที่ตัวเองอยู่ (จังหวัดสตูล) เป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ  จึงมีให้เลือกเพียงสองประเทศ คือ ประเทศนอร์เวย์และอาร์เจนติน่า   ส่วนตัวมีความใฝ่ฝันอยากจะได้เห็นหิมะจริงๆ มานาน   กอรปกับคุณพ่อเองสนับสนุนให้ได้มีโอกาสไปดูความเป็นอยู่ของคนในประเทศยุโรป เพื่อจะได้เห็นกระบวนการคิดและระบบสังคมว่าทำไมบางประเทศถึงร่ำรวย และบางประเทศถึงได้ยากจน  กลุ่มคนที่พัฒนาแล้วเขาดำรงชีวิต และมีกระบวนการทางสังคมอย่างไร  ก็เลยเลือกมาอยู่ที่นอร์เวย์ค่ะ  หลังจากนั้น ก็กลับไปเรียนปริญญาตรีที่เมืองไทย  ในสาขาบัญชีและพาณิชย์นาวี ในปีสุดท้าย (ปี4) ก็มีบริษัทเรือของนอร์เวย์  ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองไทย  เรียกตัวไปทำงาน  ชีวิตก็เลยผูกพันกับนอร์เวย์เรื่อยมา  และในปี 2009 ก็ได้รับทุนกลับมาเรียนในระดับปริญญาโทที่ออสโล


ประเทศนี้จากมุมมองส่วนตัว มีข้อดีข้อเสียยังไงบ้างคะ
อืม   ถ้าจะให้เรียกข้อดีข้อเสีย  อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้มาก  อยากจะขอเรียกเป็นสิ่งที่เราประทับใจ กับสิ่งที่สร้างความไม่สะดวกให้กับเราเองมากกว่า  ส่วนตัวรู้สึกประทับใจกับกระบวนการคิดของคนนอร์เวย์  คนนอร์เวย์มีคุณลักษณะของคนดีมีน้ำใจ เป็นกลุ่มคนที่มีความเสถียรทางอารมย์  เนื่องด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี และธรรมชาติที่สวยงามของประเทศ ช่วยให้คนที่นี่มีความสงบเย็นในใจ  มีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวเขาก็ว่าได้ (หากจะพูดในมุมของชาวพุทธอะนะคะ) คือเขามีศีล มีเมตตา รักษาสัจจะกันโดยส่วนใหญ่

ส่วนสิ่งที่สร้างความไม่สะดวก ก็คือ สภาพอากาศที่หนาวเย็น และหน้าร้อนช่วงสั้นๆ  ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของจีเองในตอนนี้ 
  
เหตุการณ์ไหนที่ทำให้เกิดแรงผลักดันสูงสุด ถึงขึ้นเปลี่ยนชีวิต 
มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ๆ  อยู่หลายครั้งเหมือนกัน  ครั้งแรกสุดที่พอจะจำความได้คือ ตอนที่ยังเป็นเด็กๆ  จะเป็นเด็กที่มีความมั่นใจและช่างพูด  กล้าแสดงความเห็น  จนบางครั้งเกินเลยไปถึงขั้นเถียงผู้ใหญ่  จนเริ่มจะโตขึ้น อายุประมาณ 14-15 ขวบ  ก็เห็นว่าคำพูดของเราทำให้คุณแม่เสียใจบ่อยครั้ง  และเราก็เสียใจเองหนักกว่าเวลาเห็นพ่อแม่เสียใจ  ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดอีก  ไม่อยากเห็นแม่เสียใจ   ก็เลยตั้งใจตั้งแต่นั้นมา ว่าจะระมัดระวังคำพูด และจะให้วาจาของเราเป็นไปเพื่่อประโยชน์จรรโลงใจ  สร้างกำลังใจ หรือสร้างกำลังใจให้คนอื่่น  คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนอื่น ประชด กดดันคนอื่น  คำพูดในเชิงลบ หรือบวกจนเกินความจริง จะไม่ทำอีกแล้ว ซึ่งตอนนี้เห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว  เริ่มใช้วาจาสร้างสรรค์จนกลายเป็นนิสัยแล้ว และจะทำให้มาก ให้ดีขึ้นต่อไป 

และจีเป็นคนที่รักพ่อกับแม่มาก  ความรักที่บริสุทธิ์นี่เป็นสิ่งที่ดี เป็นพลังงานที่แข็งแรงและบริสุทธิ์ เพราะจำได้ว่าไม่เคยเกเรหรือทำอะไรที่ผิดศีลหรือธรรม หรือกฎของโรงเรียนเลย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง  จะคิดเสมอว่า ถ้าพ่อกับแม่เห็นเราทำไม่ดีแบบนี้เขาจะเสียใจไหม  เป็นกระบวนการคิดที่เสริมให้เราควบคุมตัวเองได้ ไม่เดินหลงทาง

เหตุการณ์ที่สองคือ เหตุการณ์โดนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนคว่ำบาตร ไม่คุยด้วย  เพราะเราเก่งและเด่นและไม่ค่อยเคารพความเห็นคนอื่น (คือมั่นใจในตัวเองเกินไป)   ตอนนั้นก็เป็นช่วงมัธยมต้น  จำได้ว่าต้องเดินคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง  เพราะเพื่อนๆ เขาไม่อยากอยู่ด้วย  จำได้ว่ามีความทุกข์ใจมากๆ  เพราะเรียนโรงเรียนประจำ  ทุกข์ใจก็ต้องเก็บไว้คนเดียว  คุยกับพ่อกับแม่ก็ยากมาก  เพราะสุดสัปดาห์จะได้เจอกันครั้งหนึ่ง      สุดท้ายเลยได้บทเรียนว่า  คนจะเก่งจริงๆ  ต้องสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้  ต้องเคารพคนอื่น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องเสียความเป็นตัวของตัวเอง   การทำงานเป็นทีม ต้องมีเมตตากับคนอื่นให้มาก  ถ้าจะเป็นผู้นำ ก็ต้องเสียสละมากกว่าเขา  ผู้นำที่ดี คือ คนที่จะนำทางให้คนอื่นๆ  ได้นำศักยภาพในตัวเขาออกมา  เราไม่ได้เดินนำเขา  แต่เรานำสิ่งดีๆ  ในเขาออกมาให้เขาได้เดินเองได้   คนที่เก่งจริงๆ ต้องทำงานได้กับทุกคน  แล้วเราก็เรียนรู้จะต้องปิดทองหลังพระให้เยอะ จากเหตุการณ์ ทำให้เราเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน  รู้วิธีการทำงานกับคนมากขึ้น นอกเหนือจากความเมตตาแล้ว เราจะต้องมีความจริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง  ศีลข้อสี่นีสำคัญมาก  การนินทา การให้ร้ายจะทำให้กลุ่มแตกความสามัคคี เราต้องไม่ทำเด็ดขาด  และต้องเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า  คนทุกๆ คนมีความรู้ ความสามารถและความดีที่ควรค่าแก่การเคารพ  ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  เราต้องหามันให้เจอ  แล้วเราจะเป็นคนไม่มีศัตรู


วางเป้าหมายแต่ละอย่างไว้นานแค่ไหนคะ
เป้าหมายระยะยาว คือ ตลอดชีวิต 
เป้าหมายระยะกลาง คือ ต่อปี
เป้าหมายระยะสั้น คือ อยู่แบบวันต่อวัน คือ ทำอย่างไรจะมีสติในชีวิตแต่ละวันให้ต่อเนื่องได้มากที่สุด
  
ถ้าไปไม่ถึง เป้าหมายที่วางไว้คิดยังไง ทำยังไงคะ
ต้องไม่ท้อนะ  อันนี้คือนิสัยส่วนตัวที่คนรอบข้างเขาจะพูดถึงเรา คือเป็นคน Never give up และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเมตตาตัวเองก่อน อย่าเพิ่งตำหนิตัวเอง จากนั้นให้ลองพิจารณาดูว่าเราทำอะไรขาดตกบกพร่อง  หากถามคนที่่เกียวข้องได้ก็ขอความเมตตาให้เขาแนะนำ พิจารณา แล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป  ไม่เสียดายอดีต  การที่เราจะประสบความสำเร็จ หรือเดินถึงเป้าหมายเราได้นั้นปัจจัยมันไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียวทั้งหมด  มันยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น เราไปสมัครงาน แล้วไม่ได้งาน ทั้งๆ ที่มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง อาจจะเป็นไปได้ว่า ตอนนั้น บริษัทนั้นๆ  ไม่มีตำแหน่งว่างหรือสถานการณ์ทางการเงินกำลังแย่พอดี เขาเลยแปลงแผนรับพนักงานกะทันหัน เป็นต้น  ดังนั้น เราไม่ควรโทษตัวเอง  แต่ตั้งคำถามเสมอว่า เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้  อย่าให้ความผิดหวังมาลดทอนความเคารพตัวเอง หรือความมั่นใจในตัวเอง
  
ถ้าไปถึงเป้าหมายละคะ ให้รางวัลอะไรกับตัวเอง
รางวัลมันเกิดขึ้นทันทีหลังจากเราไปถึงเป้าหมายอยู่แล้ว  คือ ความภาคภูมิใจ  ความโล่งใจ  หรือความปีติใจของคนที่รักเราเช่นพ่อแม่   ส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยจะให้รางวัลตัวเองมากมาย  มีบ้างคือไปรับประทานอาหารนอกบ้านในร้านที่เราอยากกิน (เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบกินมาก แต่ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่ง)
  
เหตุการณ์เรื่องราวไหนที่เราบอกตัวเองได้ว่า นี่ละสูตรความสำเร็จของฉัน
ก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ต้องมีความเชื่อก่อนว่าเราทำได้ เห็นภาพสำเร็จก่อนแล้วในหัว  ไม่สบประมาทตัวเอง ต้องวางแผนการทำงานให้ชัดเจน  และมีวินัยที่จะเดินตามแผนนั้น ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ทิ้งงานกลางคัน อุปนิสัยหลักๆ ที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จคือ  อิทธิบาท 4 ต้องมีฉันทะ มีวิริยะ จิตตะ วิมังสา ในเนื่้องานนั้นๆ   ต้องมีวินัย แต่ก็มีความสนุกผ่อนคลายไม่เคร่งเครียด บางครั้งต้องบ้าบิ่นนิด   คือ ต้องกล้าจะลอง กล้าจะรับคำตำหนิ หรือ กล้าจะเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆ   สำคัญที่สุดคือ  ก่อนทำงานอะไรสักอย่าง เราต้องเตรียมกายและจิตให้พร้อม  จิตที่พร้อมต่อการทำงาน คือ จิตที่มีสติ ผ่อนคลาย เบิกบาน  ไม่ฟุ้งซ่าน  

สิ่งที่ตัดออกไปจากชีวิตและนิสัยส่วนตัว บบว่าฉันจะไม่เป็น ฉันจะไม่ทำมันอีก
ความคิดหรือคำพูดเชิงลบ  การคบคนพาล นิสัยจับจด ทิ้งงานกลางคัน
  
ตอนนี้เริ่มบุกห้องนอนแล้วนะคะ เข้านอนและตื่นนอนตอนกี่โมงคะ 
นอนประมาณเที่ยงคืน  ตื่น 6 โมงเช้า
ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน ก็นอน 5 ทุ่ม ตื่นตี 5 ค่ะ
  
ใช้เวลากับ Social network วันละกี่ชั่วโมง
ไม่น่าจะเกินวันละ 2 ชั่วโมงนะคะ   ส่วนโทรทัศน์นี่ก็ดูเฉพาะข่าวอย่างเดียว  หรืออาจจะมีรายการที่เราสนใจบ้าง
  
ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรคะ
ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับกระบวนการคิดของบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก ว่าเขาคิดอย่างไรทำอย่างไร จึงส่งให้เขาไปถึงจุดนั้น  แต่หลังๆ มานี้จะชอบอ่านหนังสือธรรมะแนวปฏิบัติวิปัสนาเสียมากกว่าค่ะ

อ่านส่วนไหนของหนังสือเป็นอันดับแรก
ปกหลัง สารบัญ


ทัศนคติในการใช้ชีวิต
ทุกอย่างเกิดจากผลของการคิดและทำของเรา  หากเราคิดดี พูดดี ทำดี ด้วยจิตบริสุทธิ์แล้ว ก็จะการันตีได้ว่าเราจะได้พบเจอกับสิ่งดีๆ เสมอ ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน  อย่าเสียเวลาไปกับเป้าหมายที่ไม่มีประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ และให้จัดเวลาแต่ละวันในการสร้างนิสัยที่ดีให้กับตัวเอง  เช่น จัดเวลานั่งสมาธิ  ออกกำลังกาย หรือ โทรศัพท์หากพ่อกับแม่ และต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง  ต้องมีอุเบกขากับเหตุการณ์ทีเราคุมไม่ได้
  
Hobby กิจกรรมพิเศษ
ช่วยเหลือองค์กรต่างๆ  เช่น วัด สมาคมที่ไม่แสวงหากำไร 

Idol บุคคลที่เราเอาเป็นแบบอย่าง
พระพุทธเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

อะไรที่เรียกว่าการพักผ่อนสำหรับน้องจีคะ
การได้นั่งอ่านหนังสือสบายๆ วันอาทิตย์ที่ร้านกาแฟ (Lazy Sunday) นั่งสมาธิ และเดินจงกรมในป่า อะไรประมาณนี้ค่ะ

ความฝันในอนาคต
 ตอนนี้ไม่มีฝันอะไรที่ออกมาในเชิงรูปธรรมที่ชัดเจน  มีฝันเพียงแค่ว่าอยากจะพัฒนาจิตของตัวเองให้มีสติต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่านี่คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และก็อยากจะมีโอกาสได้ทำอะไรที่สามารถช่วยเหลือสังคมให้เป็นรูปธรรมมากกว่านี้

อยากจะฝากอะไรถึงผู้ที่ได้อ่านเรื่องราวของเราบ้าง
หวังว่าเรื่องราวของเราจะสร้างพลังใจให้กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เพื่อจะได้ไปเป็นแสงสว่าง เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ อีกต่อไป เชื่อว่าคนทีอ่านบทสัมภาษณ์นี้ จะต้องเป็นกลุ่มคนที่รักการพัฒนาตัวเอง  คือ เป็นคนรักดี อยากเห็นคนดีเป็นคนกล้าด้วย  ทำดีแล้วต้องกล้า ต้องมีจุดยืน  ทำความดีไม่ต้องอาย  เอาความรู้ความสามารถของเราออกมาช่วยเหลือสังคม  อาจจะเป็นสังคมเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวเราก่อนก็ได้ค่ะ

อยากฟัง Stories ของใครเป็นพิเศษต่อจากนี้คะ
อยากฟังบทสัมภาษณ์ของคุณลีลาค่ะ

คุณลีลาเธอเป็นแอดมินค่ะ เธออยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก่อน เธออยู่ในลิสต์ แต่ตอนนี้ขอเก็บเธอใส่กล่องไว้ก่อนนะคะ  :)