mandag 12. september 2016

พี่แหม่ม คนใจแกร่ง


สวัสดีค่ะ หลังจากที่ผู้เขียนติดภาระกิจยาว ก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวของพี่แหม่ม คุณแม่ที่ตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งที่เมืองไทย จากลูกๆ มาด้วยใจที่เจ็บปวดแต่เด็ดเดี่ยว มาถากถางเส้นทาง ต่อสู้ชีวิตอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ ด้วยใจมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายหลักของเธอ คือ ลูก

เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ เบื้องหลังของภาพอันสวยงามที่ใครต่อใครเห็นอยู่ในเฟสบุค เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาจนมีรอยยิ้มในวันนี้





สวัสดีค่ะ พี่แหม่ม ไม่ทราบว่าพี่แหม่มมาอยู่นอร์เวย์ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
พี่แหม่ม: พี่มาอยู่ตั้งแต่ปี 2006 ค่ะ ตอนนั้นมันไม่มีแรงบันดาลใจอะไรที่จะให้เราต่อสู้ดิ้นรนที่เมืองไทย และก็คิดว่า การตัดสินใจทิ้งลูกๆ ไว้ที่เมืองไทยในคราวนั้น ไม่ใช่ไม่รักไม่เสียใจ แต่พี่ต้องการจะพาตัวเองมาถากถางเบิกทางไว้ให้เขาได้มีชีวิต มีอนาคตที่ดีขึ้น ตัดสินใจแน่วแน่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในสมองและจิตใจพี่มีแต่ลูก พี่คิดเสมอว่าพี่ขอเดินหน้าทำเพื่อลูก

พี่มีลูกกี่คนคะ แล้วพี่มาอยู่นานไหม๊คะถึงได้ทำเรื่องพาลูกๆ มาอยู่ด้วย
พี่แหม่ม: พี่มีลูกชาย 3 คนค่ะ  พี่พามาอยู่ด้วยคือคนรองกับคนเล็ก เดือนกันยายน ปี 2007 ค่ะ ที่ลูกๆ ตามมา ตอนนั้นน้องช้อปเปอร์ อายุ 14 ย่าง 15 ส่วนน้องชาร์ปคนเล็ก 10 ย่าง 11 ขวบ



พอลูกๆ มาอยู่ด้วย ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นยังไงบ้างคะ 
พี่แหม่ม: พอลูกๆ มาอยู่ด้วยก็มีความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวเกิดขึ้นค่ะ ลูกๆ ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อเลี้ยงนัก ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนใครๆ ส่วนพี่ก็ทำงาน จนอดีตสามีเขาบอกกับลูกว่า พี่เอาแต่ทำงาน แต่ลูกพี่ก็บอกไปนะคะว่า ถ้าพี่ไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่า พี่จ่ายค่าเช่าทุกเดือน ไม่เคยเอาเปรียบเขาเลย

พี่หางานทำตั้งแต่ตอนที่พี่มาถึงใหม่ๆ เลย ลูกยังไม่มา เรียนหนังสือก็หัวไม่ไป ภาษาก็ได้บ้าง ไม่ได้ซะส่วนใหญ่ (หัวเราะ)  พี่ทำความสะอาด เก็บสะสมเงินค่าเครื่องบินให้ลูกๆ  มีงานที่ไหนพี่ไปทำหมดค่ะ หลายที่ นั่งรถบัสคันนี้ ไปต่ออีกที่ รอรถเมล์คันโน้น  พี่รับทำงานหลายที่จนได้ครบวันละ 8 ชั่วโมงค่ะ เช้ายันค่ำมืด มีงานที่ไหนให้ทำต่อ พี่ก็ทำหมด (ยิ้ม) พี่ใช้แรงงานแลกเงิน เพราะไม่ได้ภาษา

แต่พี่สอนลูกๆ นะคะ ให้ตั้งใจเรียนภาษา ภาษาต้องได้ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง และลูกเขาก็เก่งมากๆ ค่ะ เด็กๆ ขยัน พี่เขาก็ช่วยสอนน้อง ภาษาแซงแม่ไปไกลเลย

ลูกๆ มาอยู่กับพี่ได้ประมาณ 6 เดือน ฝ่ายอดีตสามีก็ย้ายออกจากบ้าน คือ เขาย้ายออกจากบ้านที่เราเช่า พี่กลับมาถึงบ้านช็อคมาก เพราะในบ้านไม่เหลืออะไรเลย  คืนนั้น เรามีผ้าห่มผืนเดียว ที่จะห่อเราสามคนแม่ลูกไว้ด้วยกัน  ก็ยังดีที่เขาทิ้งผ้าห่มไว้ให้ตั้งหนึ่งผืน 

คืนนั้นแทบจะนอนไม่หลับ พี่ร้องไห้ กอดลูกๆ ทั้งสองไว้  ลูกๆ ก็ร้องไห้หลับไปกับคราบน้ำตา มองดูลูกแล้วสงสารลูกเหลือเกิน  พี่บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ จากนี้ไปจะต่อสู้ทุกอย่างเพื่อลูก พี่นึกถึงสายตาของลูกๆ พี่จะอดทนเพื่อเขา 

ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงย้ายออกไปคะ
พี่แหม่ม: แรกๆ เรื่องราวมันก็ไม่ค่อยชัดเจนอะไร จนกระทั้งอยู่กันไปสักพัก ก็รู้สึกว่าอดีตสามี พาเราย้ายบ้านบ่อย อยู่ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนที่ย้ายไปเมืองใหม่อีกแล้ว พอตอนหลังพี่ไม่ไหว ไม่ตามใจเขา พี่โดนเขาทำร้ายครั้งแรกซึ่งตอนนั้นเขาเมา เราก็ให้อภัยเขานะ เพราะคิดว่าเขาคงดีขึ้นคงไม่ทำอีก  แต่พอเราต้องย้ายอีก พี่ก็รู้สึกสับสน ในความคิดตอนนั้นคือ เฮ้ย ทำไมเราต้องย้ายไปย้ายมา มัวแต่นั่งคิด เลยไม่คุยกับเขาตอนที่เรานั่งรถขนของกำลังย้ายไปอีกเมือง เขาก็เอามืดฟาดมาที่หน้าอกเราอย่างแรง พี่ไม่ได้ระวังตัว ไม่ทันตั้งรับ ก็เจ็บมากๆ นะ ทั้งจุกทั้งเจ็บ

หลังจากเราย้ายมาอยู่ที่เมืองใหม่แล้ว ก็ไม่ขอย้ายอีก เขาก็ไม่พอใจ บางทีเขาก็ไปทำงานต่างจังหวัด  บางวันกลับ บางวันก็ไม่กลับ ตอนนี้เริ่มมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาในชีวิตแล้ว  ตอนนั้นพี่ก็ด่าว่าเขาเหมือนกันนะ พี่เองก็ขาดสติ เสียใจที่ทำแบบนั้น แต่พี่พยายามประคับประคองชีวิตครอบครัว อลุ่มอล่วย อะไรที่ยอมได้ก็ยอม 

ระหว่างที่ลูกๆ มาอยู่ด้วยแล้วสักพัก ก็ไปเห็นการกระทำ เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะไม่ควรของอดีตพ่อเลี้ยง ก็เลยมาเล่าให้แม่ฟัง  พี่ก็ต่อว่าเขา จากนั้นเขาก็เดินลิ่วเข้าไปกระชากคอเสื้อลูกชายพี่ จับคอเสื้อเงื้อมมือจะต่อย พี่ปัดมือเขาออกจากตัวลูก เอาตัวเข้าขวางลูกไว้  คือ ถ้าทำอะไรลูกฉัน ก็เอาไงเอากัน คือตายก็ตาย จากนั้นเขาก็ถอย แล้วบอกว่าเขาขอคุยดีๆ  พี่ก็ไปคุยกันที่ห้องรับแขก

คือไม่ทันได้คุยหรอกค่ะ เข้าไปถึงพี่ก็โดนบีบคอจนไม่รู้สติ หน้ามืด ไปเลย คือมาทราบเรื่องตอนลูกเล่าให้ปากคำ ลูกบอกว่าตอนนั้นเห็นพ่อเลี้ยงจับร่างแม่เขย่าลอยไปมาเหมือนตุ๊กตา 



พี่ไปแจ้งความหรือขอความช่วยเหลือจากใครบ้างไหมคะ
พี่แหม่ม: พี่ไปขอความช่วยเหลือจาก Krisesenter ค่ะ เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง  พี่เล่าให้คนใกล้ชิดที่พี่ไว้ใจฟัง บางทีมันทุกข์มากๆ เราก็ต้องการให้มีใครสักคนรับฟัง ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเราก็พยายามประคับประคองครอบครัว 

หลักฐานการโดนทำร้าย รอยเขียว รอยช้ำ พี่ถ่ายรูปเก็บไว้หมด  และเอกสารสำคัญ พี่ไม่เคยเอาไว้ในบ้านเลย พี่ฝากคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ต หรือเอกสารสำคัญต่างๆ ฝากเขาไว้ 

ทำไมเอาเอกสารสำคัญไปฝากไว้กับคนอื่นคะ
พี่แหม่ม: พี่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อดีตสามีจะยึดเอาเอกสารของเราไปเพื่อกดดันเรา ทำให้ไม่มีทางออกก็อาจจะเป็นไปได้ มันสับสนและไม่ไว้ใจเขา ทันทีที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย พี่จะไม่เอาเอกสารสำคัญไว้ในบ้านเลย 

ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้วีซ่าถาวรใช่ไหมคะ
พี่แหม่ม: ยังอยู่ไม่ครบสามปีค่ะ เรื่องเกิดก่อนการยื่นขอวีซ่าครั้งที่สาม



รู้สึกกังวลไหมคะ กลัวว่าเรื่องจะไม่ผ่าน เราจะไม่ได้อยู่ต่อ อาจจะถูกส่งกลับไทย
พี่แหม่ม: มีความกังวลบ้าง แต่ในหัวพี่มันคิดบวกเยอะกว่านะ พี่คิดว่า ความยุติธรรมต้องมี  พอถึงเวลายื่นเอกสารขอต่อวีซ่า พี่ก็ยื่นไปตามปกติ พี่ได้ทนายที่ Krisesenter รวบรวมเอกสารให้ และได้รู้ว่าอดีตสามียื่นเรื่องขอแยกทางจากพี่ได้สักพักแล้ว  พี่ต้องใช้เอกสารเยอะมาก เอกสารเงินเดือน สัญญาเช่าบ้าน หนังสือรับรองจากโรงเรียนของลูกทั้งสอง หนังสือรับรองจาก Krisesenter จดหมายจากเพื่อนที่รู้จักเรา เอกสารการสอบปากคำจากตำรวจ เป็นแฟ้มหนามากค่ะ  และพี่ก็รออยู่ 7-8 เดือน ก็ได้รับการตอบกลับว่าเราแม่ลูกอยู่กันได้โดยไม่ต้องมีสามีค้ำประกัน 



อะไรคือกำลังใจสำคัญในช่วงที่เผชิญกับวิกฤตของชีวิต
พี่แหม่ม: ลูกค่ะ ทุกลมหายใจของพี่บอกกับตัวเองว่า อดทน อดทน เพื่อลูก แม่จะเป็นบันไดไม้ให้ลูกได้ปีนขึ้นสูงที่สุดเท่าที่ลูกต้องการ ก่อนที่บันไดอันนี้จะผุพังลง แม่จะอดทนให้ถึงที่สุด

พี่อยู่ได้เพราะพวกเขา แม้ว่าบางครั้งจะเหนื่อยแทบขาดใจ แทบเสียสติ คิดเอาชีวิตตัวเองก็เคยมาแล้ว ทำงานดึก บ้านไม่มีรถผ่าน หน้าหนาว เดินขึ้นเขา น้ำตาไหล จุกในหัวใจ เปิดประตูบ้านปุ๊บ คนน้องยื่นน้ำให้แม่ คนพี่ยื่นอาหารให้แม่ มันจะทิ้งเขาไปได้ยังไง

พี่อุทิศชีวิตเพื่อลูก เราสร้างเขามาแล้ว ต้องรับผิดชอบชีวิตเขาให้ดีที่สุด เรามีเงินอยู่ 20 โครน เราหิว แต่ถ้าเราเพิ่มอีก 6 โครนก็ได้อาหารให้เราทั้งสามชีวิต พี่ก็เก็บความหิวเอาไว้จนถึงบ้าน 


พี่สอนลูกๆ ยังไงบ้างคะ
พี่แหม่ม: สอนเขา ผ่านการปฏิบัติตัวของพี่เอง เราไม่ดื่ม ไม่เที่ยว มีความสุข อดทน มีเหตุมีผล อยู่ในความเป็นจริง ไม่ได้สอนให้เขาเพ้อฝัน แต่เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขา สอนให้เขาทำงานเอง ใช้ชีวิตจริงเพื่อที่จะได้สัมผัสกับความหวานความขมของชีวิต เพื่อสานฝันของเขาให้เป็นจริงด้วยตัวเขาเอง พี่สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล 5 เราต้องดีก่อน เราถึงจะสอนลูกได้

ปลอบใจ สร้างกำลังใจให้ตัวเอง
พี่แหม่ม: พี่สวดมนต์ค่ะ ช่วยแก้ทุกข์ อบอุ่นใจ สวดไป ร้องไห้ไป จนหนังสือสวดมนต์เปียก เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพี่ พอใจพี่สงบ ก็มีสติ ไม่ฟุ้งซ่าน จากนั้นพี่ก็จะมองเห็นทางออก ที่เขาเรียกว่าปัญญา หาทางออกให้กับชีวิตได้


พี่รู้สึกยังไงกับตัวเองบ้างตอนนี้
พี่แหม่ม: พี่ภูมิใจในตัวเองค่ะ ทำงานหนัก แต่มีพลัง ลูกคือพลังแห่งรัก เสียงหัวเราะ คำพูดของลูก ทำให้มีกำลังใจ ท้อแท้แต่ได้ลูกเป็นพลัง 100 เท่า บอกไปเลยมาเถอะปัญหา ใหญ่แค่ไหนก็มา ฉันมีภูมิต้านทาน (หัวเราะ) ที่เมืองไทยก็ทำงานหนัก ไม่มีอะไรต้องกลัว

ข้อความของลูกให้แม่


หลังจากที่ต่อสู้มานานเด็กก็โตแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ
พี่แหม่ม: ตอนนี้ผ่านอุปสรรค หายเหนื่อย ได้เห็นความสำเร็จของลูก ในวันนี้ช้อปเปอร์ทำงานให้สายการบิน Norwegian Airlines และกำลังจะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนชาร์ปทำงานให้กับ SAS Scandinavian Airlines ค่ะ ความอดทนเป็นสิ่งที่ขมขื่น แต่ผลออกมาหวานชื่นเสมอ




ใครคือไอด้อลคะ
พี่แหม่ม: แม่ค่ะ แม่เป็นหม้ายตั้งแต่พี่ห้าขวบ พ่อเสียชีวิต แม่เลี้ยงลูกคนเดียว แม่ประหยัด อดออม การปฏิบัติตัวของแม่ แม่ถือศีลและสวดมนต์ตลอด เข้มแข็ง ทุ่มเทความรักให้ลูก แม่เป็นตัวอย่างเรื่องการทำบุญ การเป็นคนดี การไม่อิจฉาริษยาใคร เราถูกซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

ฝากให้กำลังใจกับคนที่คิดว่าชีวิตเขาไม่มีทางออก
พี่แหม่ม: ก่อนอื่นพี่อยากจะขอบคุณพี่หนู พี่เก่ง ที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้ตลอด อยากขอบคุณอดีตสามีที่มีส่วนช่วยให้ลูกเราได้มาอยู่ที่นี่ 

พี่อยากจะบอกว่า คนที่มีปัญหาครอบครัว ไม่ต้องกลัวที่จะไปคุยกับ Krisesenter เขาเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ทุกเรื่อง เขามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือคนมาหลากหลายสถานการณ์ เข้าให้ข้อมูลและคำแนะนำในแนวลึกได้ ทันทีที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย กังวล ให้ไปติดต่อได้เลย ไม่ต้องอาย  คุยกับคนที่ไว้ใจได้ คุยให้ถูกคน มองดูว่าใครพอจะรับฟังเราได้ ให้คำแนะนำเราได้ บางครั้งเราต้องการกำลังใจ เราต้องมีคนคุยด้วยอย่ากลัวว่าใครจะมองว่าเราเป็นคนมีปัญหา อับอาย ไม่มีชีวิตใครสมบูรณ์แบบทุกอย่างค่ะ 


ขอขอบคุณพี่แหม่มที่สละเวลามาแบ่งปันประสบการณ์เล่าสูกันฟังในครั้งนี้ด้วยค่ะ และก็ยินดีด้วยมากๆ กับความสำเร็จของลูกๆ พี่แหม่มทุกๆ คน   



fredag 11. desember 2015

Inspiring Stories with Lampoon Lien


สวัสดีค่ะ เรื่องราวในเดือนธันวาคมนี้ เป็นเรื่องที่ของจิตอาสาคนหนึ่ง ซึ่งสะใภ้ต่างแดนหลายๆ คนที่ชอบท่องเวปน่าจะพอได้ยินชื่อเสียงของเธอ หลายคนอาจจะได้แรงบันดาลใจในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ก็ได้นะคะ


สวัสดีค่ะ ชื่อ ลำพูน เลียน ค่ะ เพื่อนๆเรียกว่า มาย  (พ่อแม่และญาติๆเรียก 'อินาง' :) )  เป็นคนอีสาน เกิดที่จังหวัดบุรีรัมย์ พ่อแม่ประกอบอาชีพทำนา เรียนจบระดับปริญญาตรี และช่วงปี 4 ได้มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ และได้มีโอกาสทำงานต่อเป็นลูกจ้างชั่วคราว (sub-contract) อยู่ประมาณ 3 ปี และลาออกมาทำกับบริษัทเทรดดิ้งแห่งหนึ่งแถวสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ทำอยู่ที่นี่ประมาณ 4 ปีก็แต่งงานกับสามีชาวนอร์วีเจี้ยน และย้ายถิ่นฐานตามสามีมาอยู่นอร์เวย์ตั้งแต่ปี 2007 ค่ะ

ปัจจุบันประกอบกิจการเล็กๆ เป็นอาหารไทยแบบ Take away & Catering และส่วนหนึ่งของร้านเปิดเป็น Kiosk อยู่ข้างปั๊มน้ำมัน ที่ Malmefjorden ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆห่างจาก Molde ประมาณ 20 กม. ค่ะ

เริ่มสนใจเรื่องขายอาหารไทยตอนไหนคะ เล่าเรื่องคร่าวๆ เป็นวิทยาทานเผื่อคนที่สนใจสักนิดนึงค่ะ 
ช่วง 5-6 ปีแรกที่มาอาศัยอยู่นอร์เวย์ ได้ทำงานทำความสะอาดซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของคอมมูน  ต่อมาคอมมูนได้ลดงบประมาณลง จากเคยทำงาน 100% ก็ลดลงเหลือแค่ 17.5% ซึ่งก็กินเงินตกงานส่วนที่ขาดไป  ก็ได้ปรึกษาสามีว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ซึ่งก็ไม่อยากทำงานทำความสะอาดจนถึงวัยเกษียณเพราะร่างกายเริ่มรับไม่ไหวได้ชั่วโมงทำงานน้อยแต่ปริมาณงานเยอะเกินไป ไม่คุ้มค่าเดินทางด้วย



สามีเห็นว่าเราชอบทำกับข้าวเลยแนะนำให้เปิดร้านขายอาหารไทย เพราะช่วงก่อนปลายปี 2014 ยังไม่มีร้านขายอาหารไทยหลายร้านเท่าปัจจุบัน  เมื่อกลางปี 2013 สามีได้ติดต่อเช่าสถานที่เพื่อเปิดร้าน ณ เวลานั้นมีเงินในบัญชีแค่ 5 หมื่นโครน ใช้จดทะเบียนการค้าแบบบริษัท จำกัด (Aksjeselskap หรือ AS)

ด้วยทุนจดทะเบียน 3 หมื่นโครน เหลืออีก 2 หมื่นก็ไม่พอลงทุนแน่ สามีพาเข้าไปขอกู้เงินกับธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนแรก  จนท. ธนาคารที่ให้คำปรึกษาบอกว่าจะให้กู้ยืม 4 แสนโครน แต่พอนำใบประเมินราคาทรัพย์สินในร้านไปเสนอ เขากลับคำบอกว่าให้ยืมได้แค่ 220,000 โครน เข้าบัญชีจริงแค่ 2 แสนโครน ส่วน 2 หมื่นโครนหักเป็นค่าธรรมเนียมอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ 

สรุปก็ยังมีเงินไม่พอที่จะทำร้าน ณ ตอนนั้นสามีก็กู้เงินมาเพิ่มให้ยังไม่ได้ เราก็กู้เงินจากสถาบันการเงินไม่ได้เพราะสถานะเหมือนคนตกงาน(เพราะกินเงินตกงานส่วนหนึ่ง) ได้ทำเรื่องขอเงินช่วยเหลือก่อตั้งกิจการจาก Næringsforum ประจำคอมมูนก็ได้มาแค่ 15,000 โครน (ตอนเข้าไปติดต่อ จนท บอกว่ามีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือมากถึง 150,000 โครน)

เงินที่รวบรวมมาก็ไม่พอติดตั้งร้าน เพราะเราต้องทำร้านเองทั้งหมดเจ้าของตึกมีแค่ห้องเปล่าๆ ให้ ต้องทำผนังครัว ติดตั้งระบบไฟฟ้า ติดตั้งระบบประปา ติดตั้งระบบระบายอากาศที่ได้มาตรฐาน (เพราะเรามีลูกจ้าง) ติดฝ้าเพดานเองซึ่งสามีเป็นคนทำให้ ผนังครัว ห้องครัว รวมถึงออกแบบครัวสามีก็จัดการให้หมด

โชคดีที่สามีรู้จักคนเยอะ จึงเจรจาขอแบ่งจ่ายค่าติดตั้งประปา ค่าติดตั้งระบบระบายอากาศ ค่าติดตั้งระบบไฟฟ้า และค่าสินค้าต่างๆช่วงตั้งร้านซึ่งสั่งจาก ASKO แบ่งจ่ายออกเป็น 2 งวด ซึ่งบริษัทต่างๆใจดีมากให้เครดิตและช่วยเหลือเป็นอย่างดี  



เงินส่วนที่กู้มาจากธนาคารก็ได้นำมาซื้ออุปกรณ์ครัวเพิ่มและซื้อวัสดุมาทำร้านส่วนหนึ่งด้วย ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ส่วนหนึ่งก็ใช้บัตรเครดิตส่วนตัวจ่ายไปก่อน  ส่วนอุปกรณ์ครัวมือสองบางอย่างก็ได้ฟรีจากเจ้าของและพี่ชายเจ้าของตึกที่ให้เช่า ทำให้ลดงบประมาณลงไปได้เยอะทีเดียว

ก็เรียกได้ว่าทุลักทุเลมากในช่วงเปิดร้าน เพราะขาดปัจจัยสำคัญคือ "เงิน" สองคนสามีภรรยาช่วยกันทำงานที่ร้านจากช่วงหัวค่ำจนถึงตี 4 ตี 5 เกือบทุกวันเป็นระยะเวลา 1-2 เดือน แต่ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลายากๆ มาได้ ช่วงปีแรกผลประกอบการดีเป็นที่น่าพอใจมาก ทำให้บริษัทสามารถชำระค่าใช้จ่ายช่วงติดตั้งร้านกว่า 6 แสนโครนลงภายในระยะเวลา 6 เดือน (เจ้าของทำงานแบบไม่เอาเงินเดือนอยู่ประมาณ 4 เดือน)  ปัจจุบันทุกอย่างก็เข้าระบบบ้างแล้ว ทำงานอย่างสบายใจขึ้น มีเวลาพักผ่อนมากกว่าแต่ก่อน

ก็เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆค่ะ ภูมิใจที่ตัวเองฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้ เพราะความอดทนและมุ่งมั่นจึงทำให้เราเดินมาถึงจุดนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ใช่จุดที่ประสบความสำเร็จที่สูงสุดก็ตาม

พอใจกับการใช้ชีวิตที่นอร์เวย์มากน้อยแค่ไหนคะ
ค่อนข้างพอใจกับการใช้ชีวิตที่นี่ค่ะ อยู่กันสองคนกับสามีและหมาตัวใหญ่ๆอีก 6-7 ตัว ไม่มีลูกด้วยกันและไม่มีลูกติดทั้งสองคน เลยใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำงานทั้งคู่ ที่ชอบนอร์เวย์เพราะอากาศที่บริสุทธิ์ผู้คนเป็นมิตร สงบ ปลอดภัย  สวัสดิการรัฐหลายอย่างที่เราหาไม่ได้ในบ้านเรา ส่วนที่ไม่ชอบนักและไม่ค่อยชินก็คงเป็นช่วงหน้าหนาวที่อากาศหนาวจัดอุณภูมิติดลบและช่วงหิมะตกหนักขับรถลำบากหน่อย :) (ยิ้ม ยิ้ม)

มีเรื่องราวที่น่ารักๆ ของมายที่บริจาคผมให้ผู้ป่วยมะเร็งด้วย
เป็นคนรักผมและชอบไว้ผมยาวมาตลอดค่ะ จะตัดทิ้งก็เสียดาย แต่ไว้ยาวมากก็ลำบากในการดูแล เคยอ่านผ่านๆตามาว่ามีการรับบริจาคเส้นผมเพื่อนำไปทำวิกผมให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ รพ. จุฬาภรณ์ ก็เลยค้นหาที่อยู่และส่ง EMS ไปบริจาคค่ะ



รู้สึกยังไงบ้างคะตอนที่ช่างกำลังตัดผมที่ไว้มาหลายปี ยาวสลวยสวยงาม 
ตอนตัดไม่รู้สึกเสียดายค่ะเพราะรู้ว่าเราไม่ได้ตัดทิ้ง แต่เรากำลังจะช่วยให้ผู้ป่วยที่เขาต้องการใช้ผมเรา ก็เลยไม่เสียดายแต่รู้สึกปลื้มใจมากกว่าที่ผมเรามีประโยชน์ต่อคนอื่น  

จำวันที่ตัดบริจาคครั้งแรกได้ดีเลยค่ะ เจ้าของผมไม่รู้สึกเสียดายผมที่กำลังจะถูกตัด แต่ช่างตัดผมถามแล้วถามอีกว่าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะตัด ก็ตอบอย่างมั่นใจว่า "มั่นใจค่ะ ตัดเลย คุณก็จะได้มีส่วนร่วมในการทำบุญกับเราด้วย" วันนั้นตัดออกสั้นมากเหลือแค่ไหล่ รู้สึกเบาหัวมากค่ะ  และตั้งใจว่าจะบริจาคเส้นผมตัวเองตลอดไปถ้าเส้นผมยังมีสุขภาพผมดีพอที่จะบริจาคได้ค่ะ


มีคำแนะนำอะไรสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากจะบริจาคผมบ้างคะ
 ถ้าใครอยากบริจาคเส้นผมทำวิกช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง ให้ดูแลและรักษาสภาพเส้นผมให้ดี อย่าทำสีหรือใช้สารเคมีเพราะไม่งั้นจะใช้ทำวิกให้ผู้ป่วยไม่ได้ ถ้าใครอยากบริจาคลองเช็คข้อมูลในกูเกิ้ลนะคะ เขาจะมีเปิดรับบริจาคเป็นช่วงๆ ถ้าช่วงไหนมีคนบริจาคเยอะแล้วเขาก็มีช่วงปิดรับเหมือนกันค่ะ

เรื่องที่หลายคนอาจจะสงสัย รวมทั้งพี่ด้วย คือ มาย เป็นคนที่มีข้อมูลของเรื่องต่างๆ เยอะมาก ทั้งเรื่องกฎหมายอีกสารพัด มีคนตั้งคำถาม มายก็จะเข้ามาตอบ เป็นมาเป็นไปยังไงคะ
จุดเริ่มต้นเลยคือมีว่าที่สามีเป็นคนนอร์เวย์ สารภาพตามตรงเลยค่ะว่าไม่รู้จักประเทศนอร์เวย์และอุปนิสัยใจคอของคนประเทศนี้เลย ก็เลยเริ่มเข้ากูเกิ้ลค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ พออ่านๆไปก็เกิดความสนใจและค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้นค่ะ 

ในตอนนั้นค้นไปเจอเวปไซท์หนึ่งที่สาวไทยและหนุ่มไทยมีแฟนและสามีชาวต่างชาติรวมถึงคนที่ใช้ชีวิตต่างแดนร่วมกันแบ่งปันข้อมูลกันอยู่ เลยเข้าไปอ่านและพอมีประสบการณ์บ้างก็ร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนใหม่ๆที่เข้ามาค่ะ เลยนั่นคือจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนอร์เวย์กับเพื่อนๆคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ บางครั้งก็งงตัวเองเหมือนกันว่าทำไมมานั่งตอบข้อมูลคนอื่นได้ทุกวันนะ แต่ก็สังเกตุตัวเองว่าเวลามีคนมาโพสต์ถามอะไร ถ้าเราไม่รู้เราก็อยากรู้ อยากได้คำตอบเหมือนกัน เลยเป็นที่มาของการค้นข้อมูลมาตอบ ทำมาเรื่อยๆจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็น "จิตอาสา" ไปแล้วค่ะ

แหล่งของข้อมูลละคะมาจากไหนบ้าง
ข้อมูลส่วนใหญ่ก็ค้นคว้ามาจากห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ นั่นก็คือ "กูเกิ้ล" ฮ่าๆๆ อยากรู้อะไรให้ถามกูเกิ้ล ถ้ารู้จักใช้คำในการค้นคว้า ไม่ว่าจะภาษาไทย อังกฤษ หรือนอร์วีเจี้ยนก็ตาม เราก็จะได้คำตอบมากมาย หนังสือก็มีประโยชน์แต่บางเรื่องอาจจะไม่อัพเดทตามกาลเวลานัก ประสบการณ์ตัวเองก็สามารถนำไปแบ่งปันข้อมูลหรือให้คำแนะนำคนอื่นได้มากทีเดียวค่ะ

คาดหวังไหมคะว่าคนที่เราให้ข้อมูลไปเขาจะนำไปใช้
ก็หวังว่าทุกคนที่ได้ข้อมูลไปจะนำไปพิจารณาและนำไปใช้ประโยชน์ให้ตรงกับความต้องการของตัวเองค่ะ บางครั้งข้อมูลที่เราให้ไปอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ถ้าจะหาจากแหล่งข้อมูลอื่นมาเปรียบเทียบด้วยก็จะดีทีเดียวค่ะ มีหลายเรื่องที่ เจ้าหน้าที่ในแต่ละเมืองหรือคอมมูนพิจารณาไม่เหมือนกัน ถ้าต้องการความแน่นอนต้องติดต่อหน่วยงานนั้นๆ เพื่อยืนยันคำตอบอีกทีจะดีมาก

มายมีจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตอะไรบ้างคะ

จุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตก็จะมีหลายครั้งนะคะ ครั้งแรกก็ตอนที่ได้มีโอกาสได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายค่ะ ตอนแรกเกือบไม่ได้เรียนต่อเพราะฐานะทางบ้านไม่ดี พ่อกลัวจะไม่มีเงินส่งเรียน แต่โชคดีที่น้าชาย(น้องชายแม่) ที่รับราชการทหารอยู่ที่จังหวัดทหารบกสระบุรี และน้าสะใภ้รับมาอยู่ด้วย และน้าๆได้ช่วยพ่อกับแม่ส่งเรียนจนจบชั้น ม. ปลาย และทำให้มีโอกาสเรียนต่อจนจบระดับปริญญาตรีจนมีงานทำ นึกย้อนไปว่าถ้าไม่ได้เรียนต่อในวันนั้น เราคงไม่ได้มีโอกาสได้ทำงานดีๆ ได้เจอคนดีๆและมีสังคมที่กว้างขึ้นแบบปัจจุบันนี้

จุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็คือได้พบรักกับสามี ทำให้เราได้มาใช้ชีวิตในต่างแดน ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอีกแบบและได้ประสบการณ์แปลกใหม่มากมาย อะไรที่ไม่เคยทำในเมืองไทยก็ได้ทำ ทำให้เรามีรายได้มากพอที่ส่งไปเลี้ยงดูพ่อแม่ที่เมืองไทย ทำให้พ่อแม่ภูมิใจและมีความสุขกายสุขใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

ชีวิตมีขึ้นมีลงเน๊าะ ช่วงขาลงบอกกับตัวเองยังไงบ้างคะ
เวลาเหนื่อยหรือท้อ จะนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ค่ะ พ่อแม่มีลูก 3 คน เราเป็นลูกคนโตและเป็นลูกสาวคนเดียวในบ้าน เป็นที่พึ่งหลักของพ่อกับแม่ ดังนั้นถ้าเราอยากให้พ่อแม่เราอยู่ดีกินดีมีความสุขเราก็ท้อไม่ได้ นึกเสมอว่า ความสุขของพ่อแม่คือความสุขของเรา ตอนเรียนหนังสือพ่อแม่ลำบากมากเพื่อหาเงินส่งให้เราเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ดังนั้นทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อยและท้อพ่อแม่คือยาวิเศษย์ที่ทำให้เรามีแรงสู้ต่อไป

ทัศนคติในการใช้ชีวิต
 - ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ต่อผู้อื่นและต่ออาชีพที่เราทำ แล้วจะทำให้เราไม่มีเรื่องกังวลใจหรือมีความหวาดระแวงใดๆ
-  พยายามทำความดีให้มากและทำชั่วให้น้อยที่สุด (ถ้าทำได้)
-  อุปสรรคที่เข้ามาแต่ละวัน ถือว่าเป็นบททดสอบการใช้ชีวิของเรา เราต้องผ่านมันไปให้ได้
-  ถ้าเราขยัน อดทน เราก็ไม่อดตาย




มาถึงสิ่งที่มายภูมิใจดีกว่า เป็นเรื่องอะไรคะ

 สิ่งที่ภูมิใจที่สุดที่ได้ทำแล้วก็คือจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ซึ่งทำให้พ่อแม่ภูมิใจมาก และการที่ได้ทำให้พ่อแม่มีความสุข มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

อะไรคือการพักผ่อนสำหรับมาย
การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการได้มีเวลาว่างจากการทำงาน ได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับสามีค่ะ แต่ปัจจุบันก็หาเวลาพักผ่อนค่อนข้างยากเพราะต้องดูแลร้านเอง ทำงานเสร็จหลังเที่ยงคืนก็บ่อยๆ เมื่อกลับถึงบ้านคือเวลาพักผ่อน นอนบนโซฟาพร้อมไอแพดอันหนึ่งค้นข้อมูลและตอบคำถามเพื่อนๆที่ถามมาทางข้อความและตามเพจ นี่ก็คือการพักผ่อนอีกแบบค่ะ :)

ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีคนกี่คนเข้ามาในชีวิตเราบ้าง ที่ให้เราได้เรียนรู้ ได้ข้อคิด
ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้พบเจอใครใหม่ๆ นอกจากลูกค้าที่ร้านค่ะ ตั้งแต่เปิดร้านมาได้พบเจอลูกค้าหลากหลายนิสัยใจคอ ได้เรียนรู้ว่าคนนอร์ชส่วนหนึ่งแพ้ส่วนผสมในอาหาร พวกแป้ง หัวหอม ถั่ว เป็นต้น ไม่ค่อยเจอในลูกค้าคนไทยที่บ้านเรานะ คนนอร์ชส่วนหนึ่งไม่ชอบลองทานอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ทานแต่เมนูเดิมๆ อาจกลัวว่าซื้อเมนูใหม่ๆ ไปแล้วไม่อร่อยมั้งคะ



งานอดิเรก
กิจกรรมพิเศษช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำค่ะเพราะทำงานแทบทุกวัน แต่ก่อนชอบตามสามีไปงานประกวดหมาในเมืองต่างๆของนอร์เวย์ บางครั้งก็ได้ช่วงสามีจูงหมาโชว์ในสนามด้วยเพราะบางทีหมาที่เอาไปหลายตัว ชนะเกือบทุกตัวต้องหาคนช่วงจูงในโชว์ด้วย

Idol คนต้นแบบ
Idol ที่ยึดเป็นต้นแบบคือในหลวงของเราค่ะ บั้นปลายชีวิตอยากทำเกษตรแบบพอเพียงแบบในหลวงที่ได้พระราชทานแนวทางไว้

Idol อีกคนคือแม่ค่ะ แม่เป็นคนอดทน ขยันและรักและห่วงลูกๆมาก ตอนนี้แม่อายุก็มากแล้วแต่แม่ยังไม่ยอมหยุดทำงานเลย ก็อยากมีความอดทนและขยันเหมือนแม่

อะไรที่เราบอกตัวเองว่า ฉันจะไม่ทำมันเด็ดขาด
สิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำคือ เสพย์ยาเสพย์ติด เสพย์ของมืนเมาเพราะมันทำให้ขาดสติ ทำลายชีวิตและอนาคตค่ะ


สิ่งที่อยากทำ

สิ่งที่ตั้งใจอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำคือ อยากให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน ตอนที่เรียนอยู่ระดับ ม. ปลาย ที่โรงเรียน สระบุรีวิทยาคม จ.สระบุรี เคยได้รับคัดเลือกให้เข้ารับทุนเรียนดีแต่ยากจน ตอนนั้นดีใจมากค่ะใช้เงินทุกบาทอย่างคุ้มค่าเลย เป็นจุดที่ทำให้เรามีความคิดว่า ถ้าสักวันหนึ่งถ้าเรามีเงินมากพอ เราจะมอบทุนให้กับนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจนบ้าง ตอนนี้ความฝันก็ใกล้จะเป็นความจริงแล้วค่ะ

อีกอย่างที่อยากทำคือถ้าวันหนึ่งมีมีเวลาว่างแล้วและมีเงินพอเลี้ยงตัวเองไม่เดือดร้อน  อยากเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิที่เข้าไปช่วยเหลือคน เช่น มูลนิธิกระจกเงา ไม่ได้คิดจะทำแบบ 100% แต่ถ้ามีเวลาก็จะขอเป็นอาสาสมัครค่ะ รอดูว่าความฝันนี้จะเป็นจริงไหม ต้องทำงานเก็บเงินให้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวไปก่อนก่อนที่จะไปช่วยคนอื่นได้

คำถามที่มายถามตัวเองบ่อยๆ 
โดยปกติจะนึกถึงความรู้สึกคนอื่นก่อนตัวเอง บางครั้งก็ลืมทำอะไรเพื่อตัวเอง ก็เคยถามตัวเอง(ในใจ)อยู่บ่อยๆว่าเราทำอะไรเพื่อตัวเองมากพอหรือยัง
อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังอ่านเรื่องของเราอยู่คะ
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่านมีกำลังใจในการสู้ชีวิต ถ้าเราท้อก็ให้พยายามนึกถึงคนที่เรารักที่สุดหรือคนที่เราอยากให้เขามีความสุข ที่สุด นึกถึงอนาคตที่เราอยากให้เป็น แล้วเราจะมีกำลังสู้ต่อไปค่ะ คนเราเกิดมาต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน พยายามอย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เหนือกว่าเราเพราะมันจะทำให้เราท้อและไม่มีกำลังใจ  บางคนผ่านชีวิตผ่านปัญหาหรืออุปสรรคมาเยอะจนกว่าเขาจะมายืนตรงจุดที่เราเห็นได้  ดังนั้นชีวิตเรากับชีวิตเขาย่อมต่างกัน

อยากฟังเรื่องราวของใครเป็นพิเศษไหมคะ
ทุกคนมีเรื่องราวชีวิตที่น่าติดตามทั้งหมดค่ะ ขอเป็นแฟนคลับเพจ Inspiring Stories Worldwide และติดตามอ่านเรื่องราวของทุกคนที่แอดมินจะนำมาลงนะคะ

ต้องขอขอบคุณแอดมินพี่ชุณห์ที่ให้เกียรติมายได้มาเล่าเรื่องราวชีวิตธรรมดาๆ ของตัวเองให้เพื่อนๆ ได้อ่าน



ขอบคุณน้องมายด้วยค่ะที่สละเวลามาเล่าเรื่องราวที่น่ารัก น่าสนใจให้เราได้อ่านกัน  ขอให้กิจการรุ่งเรื่องและได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำเร็วๆ นี้ค่ะ 

torsdag 5. november 2015

Songkran's Story


สวัสดีค่ะรบกวนแนะนำตัวนิดนึงค่ะ
สวัสดีค่ะ ชื่อ สงกรานต์ ประทุมรัตน์ ชื่อเล่น กานต์ (คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทจะชอบเรียกว่า หมู ) เป็นลูกอีสานโดยกำเนิดคุณพ่อคุณมาเป็นคนอีสาน 100%  

เกิดที่จังหวัดอุดรธานีและเติบโตที่นั่นและได้ใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กในวิถีบ้านนอกชนบทเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป จนอายุได้ 12 ปี เรียนจบชั้นประถมศึกษา อยากจะเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาเพราะการเรียนดีมาตลอดและที่สำคัญเราได้ทุนไปเรียนต่อด้วย 

แต่ทางครอบครัวไม่เห็นด้วยและคิดว่าไม่จำเป็นที่ลูกสาวจะต้องศึกษาเล่าเรียนต่อระดับการเรียนสูงๆ เพราะทางครอบครัวบอกว่าเรียนสูงขนาดไหนมาก็ต้องแต่งงานและมีครอบครัวอยู่ดีมันไม่ได้เอามาใช้หรอก (ความคิดของคนเฒ่าคนแก่สมัยนั้นๆ

เกิดอาการน้อยใจเป็นอย่างมากในตอนนั้นเพราะเราเกิดเป็นลูกผู้หญิง...แต่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นและได้คิดที่จะหาวิธีการต่างๆเพื่อจะได้ไปเรียนอะไรก็ได้ที่นอกเหนือจากการทำนา 

สรุปว่าได้ไปเรียนการเย็บผ้าและทำนาด้วย ..(การที่เป็นชาวไร่ชาวนาไม่ใช่ไม่ดีนะ ดีมาก...แต่ขอไปเรียนเอาความรู้และการพัฒนาตัวเองก่อนตอนนั้นคิดอย่างนี้จริงๆเพราะว่าโลกใบนี้มันหมุนไปเรื่อยๆรอบตัวของเรา)

ในช่วงวัยเด็กใช้ชีวิตที่ชนบท .ช่วงวัยรุ่น พอย่างเข้าอายุ17 ปี ก็ได้เข้าใช้ชีวิตอยู่เมืองกรุงโดยการเริ่มทำงานเป็นสาวโรงงานแต่มันไม่ง่ายเลยจริงๆกับการที่วุฒิการศึกษามัธยมต้น ม.3 เดินสมัครงานและสัมภาษณ์งานอยู่เกือบเดือน เพราะว่าเราไม่มีประสบการณ์การทำงานที่ไหนมาก่อนเค้าเลยไม่รับ อายุน้อยบ้าง 

...แต่ยังพอมีหวังได้งานเป็นบริษัทของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ทำงานวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ 8-12 ชม.ต่อวัน  หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ..สิ่งแวดล้อมของคนเมืองกรุงมันน่ากลัวมากสำหรับเรา..แต่เราจะต้องปรัปตัวและความคิดใหม่เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เราต้องอยู่ได้ ในสังคมเช่นนี้ ..ประสบการณ์ชีวิตในเมืองกรุงทำให้เราพัฒนาความรู้ความสามารถและตัวเองอยู่เสมอเพื่อให้ทันยุคสมัยตามเหตุตามปัจจัยของโลกใบนี้ ..

กานต์ได้เดินทางมาเยี่ยมแฟนครั้งแรกที่ประเทศนอร์เวย์ ในช่วงฤดูร้อนปี 2005 ประทับใจในหลายๆอย่าง และชอบภูมิประเทศสวยอากาศดี ...

ขณะนี้พำนักอยู่ในประเทศนอร์เวย์ ตั้งแต่ปี 2006 และปัจจุบันได้ทำงานในตำแหน่ง ผู้ช่วยพยาบาล ในบ้านพักคนชราที่ป่วย แห่งหนึ่งใน Sarpsborg Kommune
  


ชีวิตในนอร์เวย์เป็นยังไงบ้างคะ 
เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นอร์เวย์ จากความเป็นศูนย์เลยค่ะ ทั้งการเรียนภาษา การเรียนขับรถ  การทำงาน ทำหน้าที่ภรรยาและแม่เลี้ยง ลูกสาว 2 คนที่กำลังย่างเข้าสู่ช่วงของวัยรุ่น 

เป็นความรับผิดที่สูงมากสำหรับเราในตอนนั้น เพราะไม่เคยมีลูกมาก่อน ..แต่เราดูแลลูกสาวทั้ง2 คน เหมือนเราเป็นเพื่อนกันมากกว่าและเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นการดีที่เราจะพูดคุยได้ทุกเรื่อง...เพราะการวางตัวเป็นแม่เลี้ยงมันมีช่วงความสัมพันธ์และระยะห่างกันมาก.. 

ที่นอร์เวย์จะต้องต่อสู้กับความหนาวของอากาศและการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลต่างๆแต่ก็เป็นเสน่ห์และลักษณะพิเศษอีกอย่างของแต่ละฤดูกาล  ฤดูหนาวก็จะมีหิมะที่มีสีขาวเหมือนปุยฝ้าย  ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูการแห่งการเริ่มต้นของต้นไม้ดอกไม้ต่างๆ เริ่มผลิใบกิ่งก้าน ฤดูร้อนเป็นฤดูแห่งแสงสว่างที่วิเศษสุดๆของผู้คนที่นี่เลยล่ะ ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงของอากาศเริ่มเย็นตัวลงเรื่อยๆใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีดูแปลกตาและสวยงาม

..โดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่าการมาอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์มันคือการทดสอบตัวเอง และเป็นการท้าทายความสามารถของตนเองเป็นอย่างมากและน่าค้นหา...ได้ก็รู้จักกับคำว่า อดทนที่สุด ท้อแท้ที่สุด และเหนื่อยที่สุด จนกว่าเราจะผ่านด่านทดสอบทั้งด้านร่างกายและจิตใจระดับขั้นหินได้เลยก็ว่าได้ค่ะ แต่โดยรวมแล้วชอบประเทศนอร์เวย์มากค่ะ เพราะอากาศดีสงบผู้คนจิตใจดีเอื้อเฟื้อแผ่และมีจิตเมตตาสงสารต่อผู้อื่น ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่เราอยากทำได้อยู่กับตัวเองและได้ค้นพบกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆในชีวิตของเรา..




มีเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตด้วย
ค่ะคือตอนที่ป่วยหนักเป็นโรคไตวายฉับพลัน..และบวกกับการแยกทางกับสามี และต้องไปเข้ารับการฟอกไตฟอกเลือดเป็นประจำเป็นระยะเวลา 3 ปี 

เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นอย่างไม่เคยคิดมาก่อนเลยและไม่เคยคาดหวังเลยว่ามันจะเกิดกับตัวเราเอง. และเป็นจุดที่ทำให้เราต้องมีสติและต้องเข็มแข็งที่สำคัญต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ..

ชีวิตได้พบกับทางแสงสว่างแห่งธรรมในการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ใน ณ ตอนนั้น ได้เรียนรู้และยอมรับกับสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้หลบหลีกหรือหนีไปจากความตายไม่ได้เลยสักคน มันจะต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน แม้ตัวของเราเองก็เช่นกัน..เพียงจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกและติดตามตัวเราทุกวินาที 

กานต์ได้ย้อนกลับไปพิจารณากับทุกเหตุการที่เกิดขึ้นมาในชีวิตว่าเราทำอะไรไปบ้าง และก็ได้คำตอบในหัวว่าเราไม่เคยรักและไม่เคยคิดถึงตัวเองเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำเพื่อคนอื่นมาตลอดจนลืมคิดไปว่า ถ้าวันหนึ่งตัวเราเองไม่อยู่หรือหายปพวกเค้าจะทำอย่างไรกัน..การที่เราทำเพื่อคนอื่นและคิดแทนพวกเค้าต่างๆมันไม่เป็นผลดีเลย

 ...จนมาถึงวันหนึ่งวันที่ตัวเราไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลยแม้กระทั่งตัวเองก็ไม่สามารถช่วยได้เลย ผลของการรักตัวเองไม่เป็นก็คือมันทำให้คนในครอบครัวลำบากใจและเป็นทุกข์เป็นกังวลมาก

ที่น้องกานต์ไตวายฉับพลัน และต้องเปลียนไตสาเหตุมาจากอะไรคะ
ต้องเปลียนไตเพราะว่าไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายไปอย่างฉับพลันเพราะสารพิษของเห็ดแชมปิญองป่า ( Slørsopp )  ในประเทศนอร์เวย์ ที่ละอองของเห็ดได้เข้าไปทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของอวัยวะภายในของร่างกายและไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป... มีการให้เลือดเพิ่มทุกเดือนและการฉีดยาเพิ่มเลือดวันเว้นวัน


มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ
ขออนุญาตเล่าเรื่องเลยแล้วกันนะ เป็นคนที่ชอบธรรมชาติเป็นทุนอยู่แล้วชอบเดินชมป่าชมเขา วันหยุดขอให้ได้เข้าป่าจะมีความสุขมาก หน้าฤดูเห็ดเข้าป่ามีเหรอจะไม่เก็บเห็ด?  มีอยู่มาวันหนึ่งไปเก็บเห็ดและจะเก็บเฉพาะเห็ดที่เราเคยเก็บ เพราะก่อนหน้านี้ที่จะไปเก็บเห็ดเราได้ศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องเห็ดต่างๆ ได้อ่านหนังสือ และดูรูปเห็ดต่างๆ ที่เป็นพิษและไม่เป็นพิษ... เราเก็บเฉพาะเห็ดสีเหลือง ..ที่กินได้  ( Kantarellsopp ) และเป็นเห็ดชนิดนี้อย่างเดียวเท่านั้น ชนิดอื่นไม่กล้าเก็บค่ะ ได้เห็ดแล้วเราก็นำมาความสะอาดเพื่อจะเอาไปทำอาหาร 



..แต่วันนั้นรู้สึกเหนื่อยและเพลียมากผิดแปลกกว่าวันอื่นๆ(อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้พักผ่อนมั้งเลยทำให้เพลียง่าย  แต่เราเป็นคนที่ออกกำลังเป็นประจำ คือ ว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส และซ้อมชกมวย ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยอย่างนี้เลย)  จึงไม่ได้เอาเห็ดไปปรุงเป็นอาหารแค่นำไปเข้าตู้เย็นแช่ช่องแข็งเท่านั้น... 

หลังจากวันนั้นมาก็เริ่มมีอาการคลื่นไส้ทุกตอนเช้าเหนื่อยและเพลียง่ายกว่าปกติทานอาหารไม่ค่อยได้ มีอาการปวดหัวตัวร้อนปกติ และทานยาพาราเซตามอลแล้วก็ดีอาการดีขึ้น ไปทำงานได้อย่างเดิมตามปกติ  

อาการลักษณะนี้เป็นอยู่ 2 อาทิตย์ เข้าอาทิตย์ที่3 เราอาการไม่ดีขึ้นร่างกายเริ่มที่จะไม่ไหวแล้วทานอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด   วันศุกร์ได้ไปพบแพทย์ประจำตัว และได้ตรวจสุขภาพก็ไม่พบสาเหตุใดๆ...หมอได้แค่ฉีดยาแก้อาเจียนให้เท่านั้นแต่ฤทธิ์ของยาไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเราก็อาเจียนเป็นระยะทั้งนั่งและนอนอุ้มถังขยะแล้วตอนนั้น 



หมอถามประจำเดือนมาครบทุกเดือนมั๊ยมีครบทุกเดือนนะค่ะ เราตอบ..แต่อาการอย่างนี้มันเหมือนอาการของคนแพ้ท้องนะคุณพยาบาลกล่าว!! หมอให้กลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านและให้ยาพาราเซมอลมาอีกและถ้าอาการไม่ดีขึ้นวันจันทร์ให้มาหาหมอใหม่อีกครั้ง แต่เราบอกกับหมอว่าถ้าให้เราไปพักที่บ้านเราคงจะตายนะเพราะเราไม่ไหวแล้ว เราเหนื่อยมากอาเจียนและทานอะไรไม่ได้เลย... 

ท้ายที่สุดก็ต้องไปพักผ่อนที่บ้านตามที่คุณหมอแนะนำ ..กลับมาพักที่บ้านตอนนี้ล่ะเราคลานเข้าห้องน้ำเลยเดินไม่ไหวล่ะ มันทรมานที่สุด บ่ายโมงของวันเสาร์เราทนไม่ไหวล่ะที่จะต้องรอให้ถึงเช้าของวันจันทร์ ให้สามีพาไปที่Legevakt รอคิวนานมากประมาณ 2 ชม.จนเราไม่สามารถนั่งได้อีกต่อไปแล้ว จึงบอกสามีว่าเราหายใจไม่ออกและหูอื้อ สายตาเริ่มพล่า คุณพยาบาลเลยให้เข้านอนรอในห้องคนป่วยเพื่อที่จะรอให้คุณหมอมาตรวจ 

คุณพยาบาลเข้ามาเพื่อที่จะเจาะเลือดแต่ตอนนั้นปลายนิ้วมือไม่มีเลือดออกมาเลยทั้งกดทั้งบีบจนมือเขียวออกมาได้นิดเดียวแต่พอกับปริมาณที่สามารถตรวจได้ เราเริ่มตัวเย็นและรู้สึกชาไปทั้งร่างกายปากและลิ้นเริ่มแข็ง คุณพยาบาลเอาแก้วมาให้เพื่อจะเอาปัสสาวะไปตรวจแต่ว่าเราฉี่ไม่ออกทั้งที่เราพยายามแล้วมันก็ไม่ออกมา...  

นอนรอผลของเลือดประมาณ 20 นาทีปรากฏว่าผลตรวจของเลือดออกมาผิดปกติเป็นอย่างมากและเลือดข้นจนน่าเป็นห่วง และจะต้องส่งตัวเข้าไปที่โรงพยาบาลใหญ่คือที่ Fredrikstad Sykehusetโดยด่วนที่สุด คือตอนนั้นเราเริ่มสื่อสารไม่รู้เรื่องล่ะ ปากกับลิ้นเริ่มที่จะไม่ขยับพูดไม่ได้ ขายืนทรงตัวไม่ไหว และจำเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่ตอนนั้นได้ว่าสามีอุ้มไปขึ้นรถส่วนตัวไปเพื่อที่จะไปโรงพยาบาล Fredrikstad แล้วเราก็หมดสติไปเลย

สลบไปเป็นเวลา 3 วัน ตื่นฟื้นมาอีกทีก็เราแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเองเลยคนที่อยู่ในกระจกบานนั้นมันคือเรา ตัวใหญ่มาก จากน้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม เพียงแค่หลับไป 3 วัน น้ำหนักตัวพุ่งขึ้นไปที่ 70 กิโลกรัม และ เห็นเครื่องมือทางการแพทย์ติดเชื่อมตามร่างกายเต็มไปหมด ..มีพยาบาลเฝ้าดูแลตลอด 24 ชม. 

คุณหมอใหญ่ทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงมันคืออาการไตวายอย่างฉับพลันและ พิษของเห็ดได้เข้าไปกระจายตามเม็ดเลือดและเข้าไปทำลายระบบการทำงานของไตและเชื้อพิษกำลังจะแพร่กระจายไปสู่ระบบส่วนต่างๆร่างกาย  





สารพิษของเห็ดที่มาทำลายไตคือ สารพิษของเห็ดแชมปิญองป่า( Slørsopp ) งงค่ะ มันมาได้ไง เพราะเราไม่ได้ไปเก็บเห็ดนั้นเลยไม่เคยแตะเห็ดนั้นเลยด้วยซ้ำ !!!!      หมอสั่งผ่าตัดด่วนเพื่อที่จะฟอกเลือดและล้างไตทันที แต่อาการผ่าตัดในครั้งแรกไม่สำเร็จและไม่ตรงจุดเพราะเครื่องไม่สามารถทำงานได้ สาเหตุมาจากอาการบวมน้ำมากของร่างกายเลยทำให้หาจุดที่จะใส่เครื่องฟอกไตได้ยาก และได้ทำการผ่าตัดเป็นครั้งที่ 2 ในเวลาวันเดียวกันและติดต่อนานที่สุด....



ชีวิตช่วงระหว่างความเป็นความตาย เราคิดอะไรอยู่
คิดกับตัวเองว่าเรายังตายไม่ได้นะ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังไม่ทำเลย บุญคุณของพ่อแม่ก็ยังไม่ได้ตอบแทนเลยจะตายไปได้อย่างไรถ้าเรามีบุญหรือบาปที่ยังไม่ใช้ก็ขอให้ได้ใช้ก่อนเถอะ ก่อนที่จะตายจริงๆ..

สภาพร่างกายและจิตใจของเราในช่วงที่รอเปลี่ยนไต 
ในช่วงของการเข้ารับรักษาพยาบาลตัวใน 6 เดือนแรกต้องฟอกไตและฟอกเลือดทุกวัน รับสภาพตัวเองไม่ได้เหนื่อยเหมือนใจจะขาด 

สภาพร่างกายและจิตใจแย่สุดๆ คือผอมมากน้ำหนักตอนนั้น 45 กก. และตัวซีดเหลืองและดำ ผมเริ่มร่วงมากจนไม่กล้าหวีผมตัวเองเพราะมันหลุดร่วงออกมากับมือที่เราสางผม 

..กล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มลีบลงและไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวยืนได้นานๆเหมือนเมื่อก่อน เป็นโรคเครียดและซึมเศร้าอย่างหนัก ต้องใช้ยานอนหลับ และยาประเภทคลายความเครียดและกล้ามเนื้อ

..หลังจาก 6 เดือนแรกผ่านไป อาการไม่ดีขึ้นเลย เราเลยขอคุยกับคุณหมอที่ดูแลว่ามีวิธีอื่นอีกมั๊ยนอกเหนือจากการทานยาอย่างเดียว ที่พอจะช่วยให้อาการของเราดีขึ้น คุณหมอบอกว่ามี ถ้าคุณทำได้มันจะเป็นผลดีกับร่างกายและสุขภาพในอนาคตของเราด้วย

..กานต์ตกลงทำตามที่คุณหมอแนะนำมาทุกอย่าง เริ่มจากการเข้าอบรมและการดูแลรักษาตนเองของคนป่วยไตวายที่ทางโรงพยาบาลจัดขึ้นเพื่อผู้ป่วยโดยตรงและเฉพาะโรคนั้นๆ 

...เริ่มจากการจัดตางรางการทานอาหารและออกกำลังกายของคนป่วยที่เป็นโรคไต คือการเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุด วันแรกเดินได้แค่ 5นาที รู้สึกเหนื่อยมากและเจ็บหน้าอกหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามเดินให้ได้มากที่สุด จาก 5,10,15,20,30 นาที ทุกวัน  และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตตัวเองใหม่ ที่เป็นคนป่วยแค่กายแต่จิตใจเราไม่ป่วย  ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคที่เราเป็นอย่างมีความสุข



ทานอาหารประเภทไหนได้และไม่ได้บ้างคะ
อาหารที่ทานและดื่มได้คือ ประเภทอาหารแห้ง ไม่มีน้ำและไม่มีส่วนผลมของเกลือ -น้ำปลา ขนมปังกรอบที่ไม่มีส่วนผสมของนม

 เนื้อสัตว์จะต้องปรุงสุกโดยผ่านการต้มที่เป็นเนื้อสัตว์สีขาว คือปลา เนื้ออกไก่สีขาว ผลไม้ที่ทานได้ แอปเปิ้ล ลูกแพร  นมถั่วเหลืองในปริมาณที่กำหนด 1 แก้วต่อวัน  ชาเขียว น้ำดื่มได้ 1ลิตร/วัน +กับอาหารที่มีน้ำด้วยในร่างกายรวมกันแล้วให้ได้ 1 ลิตร/วัน ไม่เช่นนั้นจะมีอาการบวมน้ำและเสี่ยงต่อการมีน้ำในปอดเป็นอันตรายต่อร่างกายและระบบหัวใจ

อาหารที่ทานไม่ได้และห้ามเข็ดขาดคือ
อาหารที่มีรสจัด,เค็ม,เผ็ด,เปรี้ยว, ชูรสและสารปรุงแต่งรสชาดทุกชนิดห้าม,เพราะจะทำให้เกิดอาการตัวบวมน้ำและทำให้ทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม

อาหารเนื้อดิบทุกชนิดห้ามทานไปตลอดชีวิต  อาหารที่ส่วนผสมของนมทุกชนิดห้ามทาน(อาจจะทานได้ในปริมาณที่กำหนดไว้และถ้าทานแล้วจะต้องทานยามากกว่าเดิมเราเลยเลือกที่จะไม่ทานดีกว่า) นม ,กาแฟ, เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ช็อคโกแล็ตทุกชนิด ผักสีเขียวทุกชนิดห้าม  ผลไม้ที่ทานไม่ได้แทบจะทุกอย่างเลย  มี กล้วย ส้ม ฝรั่ง ส้มโอ มะเฟือง องุ่น ลูกพลับ แตงโม แคนตาลูบ สับปะรด ....

จากที่ทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องจึงไปขอคำแนะนำและปรึกษาจากนักโภชนาการที่เกี่ยวกับคนป่วยโรคไต และคำนำว่าควรที่จะดื่มเครื่องดื่มโปรตีนสำหรับคนป่วยโรคไตเพราะมีสารที่ร่างกายต้องการอย่างพอเหมาะ/วัน

.. เราทำการจดบันทึกรายละเอียดทุกอย่างที่การทานอะไรเข้าไปบ้างของเเต่ละวันเพื่อง่ายต่อการวินิจฉัยโรคและการรักษาของแพทย์ที่ถูกต้องและง่ายขึ้น.





หลังจากที่ได้รับการเปลี่ยนไตใหม่ และดูแลสุขภาพยังไง ต้องระวังตรงไหนบ้าง
ในช่วง 4 เดือนแรกหลังจากที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตใหม่แล้ว ได้อยู่ในความดูแลของคุณหมอและคุณพยาบาลพร้อมทั้งการกายภาพบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดที่ Oslo universitetssykehus   และได้กลับอยู่ที่บ้านและใช้ชีวิตได้เหมือนผู้อื่นได้ตามปกติค่ะ และพบแพทย์ทุก 2 อาทิตย์

ข้อที่จะต้องระวังคือ การทานอาหารห้ามทานอาหารรสจัด รสเค็ม รสหวาน และเนื้อสัตว์ที่ดิบ และห้ามทานผลไม้ตระกลู เกรปฟรุต  คือ ส้มเช้ง ส้มเลือด ส้มโอ มะเฟือง เสาวรส นากจากนั้นทานได้หมดทุกอย่างค่ะ

จะเป็นคนที่ทานอาหารประเภทเพื่อสุขภาพ ดื่มน้ำเยอะๆ ทำน้ำผักผลไม้ดื่มเอง
และการออกกำลังกายที่ต้องห้ามคือมีการไปกดหรือกระแทกตรงที่ไตใหม่อยู่  เช่น การต่อยมวย เทควันโด เป็นต้น กีฬาอย่างอื่นเล่นได้แต่จะต้องไม่อยู่ในการเสี่ยงต่อการกระทบกระแทกอย่างรุ่นแรงค่ะ.. ที่ชอบและรักมากคือการออกกำลังบำบัดโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือการฝึกโยคะ วิ่งจ๊อกกี้ง เวทเทรนนิ่ง ว่ายน้ำ ..


เวลาเหนื่อย เวลาท้อ บอกกับตัวเองยังไงคะ ? 
ตราบใดที่ตัวเราไม่สิ้นลมหายใจก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ, ศรัทธาและเชื่อมั่นในความดีว่าเราทำดีจะต้องได้ดี!!!

ชอบอ่านหนังสือประเภทไหน
ชอบอ่านหนังสือธรรมะแนวปฏิบัติวิปัสนาและคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือที่เกี่ยวกับการบำบัดจิตใจและร่างกายโดยธรรมชาติ การออกกำลังต่างๆและการฝึกเล่นโยคะ การทำอาหาร ทำขนม

เวลาอ่านหนังสือเริ่มอ่านหน้าไหนของหนังสือ คำนำ และสารบัญ

อะไรคือการพักผ่อนของสงกรานต์ ?  การนั่งสมาธิค่ะ เพราะทุกอย่างหยุดที่ลมหายใจ ร่างกายและจิตใจของเรา..


ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีผู้คนใหม่ๆเข้ามาในกี่คน ที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ
ได้พบเจอกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่ดี และเจอเพื่อนที่เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์จากเรา และเราก็ขอบคุณทุกคนที่ทำให้เราได้เรียนรู้จากผู้คนเหล่านั้น ทุกคนล้วนก็มีผลเหตุที่แตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตของเค้าต่างๆกันไป และก็ได้เห็นได้รู้เรียนกับสิ่งที่เราไม่เคยรู้และไม่เคยเจอกับเหตุการณ์นั้นๆเหมือนกับบุลคลนั้น..ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเราเขาเป็นครูและเป็นกระจกบานใหญ่ที่ทำให้เราได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น...

Hobby กิจกรรมพิเศษ  ทำสวน ปลูกต้นไม้ดอกไม้ ผักสวนครัว ช่วยเหลือองค์กรต่างๆ เช่น เด็กเล็กเยาวชนและสตรี กิจกรรมของสถานที่วัดต่างๆ..




My Idol ไม่ค่อยจะมีไอดอลในดวงใจซะเท่าไรนะคะ แต่จะชื่นชมและประทับใจกับบุคคลที่ทำความดีงามและเสียสละตนเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลประโยชน์อันนี้จะฝังลึกเข้าไปหัวใจของเราเลยค่ะ .. อย่างเช่น คุณพี่ชุณห์ ลีลา , น้องจี กนกนภัส ,คุณอาร์ม ปัญญา

Don’t อะไรที่เราบอกกับตัวเองว่า  ฉันไม่จะทำมันอีกแล้ว 
ฉันจะไม่ทานเห็ดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและถูกต้องของกรมอนามัยอาหาร ไม่คบคนพาล  ละเว้นจากการไม่ทำบาป ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น 

อะไรที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำในตอนนี้
เล่นสกี พายเรือล่องแก่ง เล่นเซิร์ฟโต้คลื่นที่ Surf At Pipeline  Oahu, Hawaii

คำถามที่ถามตัวเองบ่อยๆ 
เกิดมาเพื่อทำอะไร...ทำอะไรเพื่อตัวเองและส่วนรวมบ้าง...อยู่เพื่อใคร...เพราะอะไร

อยากฝากถึงผู้อ่านทุกท่านว่า  
มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง มีสติและวินัยในการดำเนินชีวิต อย่าประมาทเพราะคุณอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นครั้งที่ 2 อีก ..ชีวิตหนึ่งมันสั้นมาก รู้จักที่จะรักตัวเองให้เป็นก่อน,ก่อนที่จะไปรักผู้อื่น และทุกคนที่อยู่ข้างคุณเขาจะรักและเมตตาเราเอง ...ที่สำคัญ อย่าเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น.




อยากฟังเรื่องราวของคนต่อไปคือ คุณพี่ ชุณห์ ลีลา และ คุณอาร์ม ปัญญาค่ะ 
เรายินดีจัดให้นะคะ ขอคิวคุณอาร์มไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ  ส่วนคุณลีลา ดราม่าเธอเยอะ จะทยอยลงเป็นตอนๆ ไปนะคะ