สวัสดีค่ะ เรื่องราวในเดือนธันวาคมนี้ เป็นเรื่องที่ของจิตอาสาคนหนึ่ง ซึ่งสะใภ้ต่างแดนหลายๆ คนที่ชอบท่องเวปน่าจะพอได้ยินชื่อเสียงของเธอ หลายคนอาจจะได้แรงบันดาลใจในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ก็ได้นะคะ
สวัสดีค่ะ ชื่อ ลำพูน เลียน ค่ะ เพื่อนๆเรียกว่า มาย (พ่อแม่และญาติๆเรียก 'อินาง' :) ) เป็นคนอีสาน เกิดที่จังหวัดบุรีรัมย์ พ่อแม่ประกอบอาชีพทำนา เรียนจบระดับปริญญาตรี และช่วงปี 4 ได้มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ และได้มีโอกาสทำงานต่อเป็นลูกจ้างชั่วคราว (sub-contract) อยู่ประมาณ 3 ปี และลาออกมาทำกับบริษัทเทรดดิ้งแห่งหนึ่งแถวสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ทำอยู่ที่นี่ประมาณ 4 ปีก็แต่งงานกับสามีชาวนอร์วีเจี้ยน และย้ายถิ่นฐานตามสามีมาอยู่นอร์เวย์ตั้งแต่ปี 2007 ค่ะปัจจุบันประกอบกิจการเล็กๆ เป็นอาหารไทยแบบ Take away & Catering และส่วนหนึ่งของร้านเปิดเป็น Kiosk อยู่ข้างปั๊มน้ำมัน ที่ Malmefjorden ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆห่างจาก Molde ประมาณ 20 กม. ค่ะเริ่มสนใจเรื่องขายอาหารไทยตอนไหนคะ เล่าเรื่องคร่าวๆ เป็นวิทยาทานเผื่อคนที่สนใจสักนิดนึงค่ะ ช่วง 5-6 ปีแรกที่มาอาศัยอยู่นอร์เวย์ ได้ทำงานทำความสะอาดซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของคอมมูน ต่อมาคอมมูนได้ลดงบประมาณลง จากเคยทำงาน 100% ก็ลดลงเหลือแค่ 17.5% ซึ่งก็กินเงินตกงานส่วนที่ขาดไป ก็ได้ปรึกษาสามีว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ซึ่งก็ไม่อยากทำงานทำความสะอาดจนถึงวัยเกษียณเพราะร่างกายเริ่มรับไม่ไหวได้ชั่วโมงทำงานน้อยแต่ปริมาณงานเยอะเกินไป ไม่คุ้มค่าเดินทางด้วย
สามีเห็นว่าเราชอบทำกับข้าวเลยแนะนำให้เปิดร้านขายอาหารไทย เพราะช่วงก่อนปลายปี 2014 ยังไม่มีร้านขายอาหารไทยหลายร้านเท่าปัจจุบัน เมื่อกลางปี 2013 สามีได้ติดต่อเช่าสถานที่เพื่อเปิดร้าน ณ เวลานั้นมีเงินในบัญชีแค่ 5 หมื่นโครน ใช้จดทะเบียนการค้าแบบบริษัท จำกัด (Aksjeselskap หรือ AS)
ด้วยทุนจดทะเบียน 3 หมื่นโครน เหลืออีก 2 หมื่นก็ไม่พอลงทุนแน่ สามีพาเข้าไปขอกู้เงินกับธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนแรก จนท. ธนาคารที่ให้คำปรึกษาบอกว่าจะให้กู้ยืม 4 แสนโครน แต่พอนำใบประเมินราคาทรัพย์สินในร้านไปเสนอ เขากลับคำบอกว่าให้ยืมได้แค่ 220,000 โครน เข้าบัญชีจริงแค่ 2 แสนโครน ส่วน 2 หมื่นโครนหักเป็นค่าธรรมเนียมอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ
สรุปก็ยังมีเงินไม่พอที่จะทำร้าน ณ ตอนนั้นสามีก็กู้เงินมาเพิ่มให้ยังไม่ได้ เราก็กู้เงินจากสถาบันการเงินไม่ได้เพราะสถานะเหมือนคนตกงาน(เพราะกินเงินตกงานส่วนหนึ่ง) ได้ทำเรื่องขอเงินช่วยเหลือก่อตั้งกิจการจาก Næringsforum ประจำคอมมูนก็ได้มาแค่ 15,000 โครน (ตอนเข้าไปติดต่อ จนท บอกว่ามีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือมากถึง 150,000 โครน)เงินที่รวบรวมมาก็ไม่พอติดตั้งร้าน เพราะเราต้องทำร้านเองทั้งหมดเจ้าของตึกมีแค่ห้องเปล่าๆ ให้ ต้องทำผนังครัว ติดตั้งระบบไฟฟ้า ติดตั้งระบบประปา ติดตั้งระบบระบายอากาศที่ได้มาตรฐาน (เพราะเรามีลูกจ้าง) ติดฝ้าเพดานเองซึ่งสามีเป็นคนทำให้ ผนังครัว ห้องครัว รวมถึงออกแบบครัวสามีก็จัดการให้หมดโชคดีที่สามีรู้จักคนเยอะ จึงเจรจาขอแบ่งจ่ายค่าติดตั้งประปา ค่าติดตั้งระบบระบายอากาศ ค่าติดตั้งระบบไฟฟ้า และค่าสินค้าต่างๆช่วงตั้งร้านซึ่งสั่งจาก ASKO แบ่งจ่ายออกเป็น 2 งวด ซึ่งบริษัทต่างๆใจดีมากให้เครดิตและช่วยเหลือเป็นอย่างดี
เงินส่วนที่กู้มาจากธนาคารก็ได้นำมาซื้ออุปกรณ์ครัวเพิ่มและซื้อวัสดุมาทำร้านส่วนหนึ่งด้วย ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ส่วนหนึ่งก็ใช้บัตรเครดิตส่วนตัวจ่ายไปก่อน ส่วนอุปกรณ์ครัวมือสองบางอย่างก็ได้ฟรีจากเจ้าของและพี่ชายเจ้าของตึกที่ให้เช่า ทำให้ลดงบประมาณลงไปได้เยอะทีเดียวก็เรียกได้ว่าทุลักทุเลมากในช่วงเปิดร้าน เพราะขาดปัจจัยสำคัญคือ "เงิน" สองคนสามีภรรยาช่วยกันทำงานที่ร้านจากช่วงหัวค่ำจนถึงตี 4 ตี 5 เกือบทุกวันเป็นระยะเวลา 1-2 เดือน แต่ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลายากๆ มาได้ ช่วงปีแรกผลประกอบการดีเป็นที่น่าพอใจมาก ทำให้บริษัทสามารถชำระค่าใช้จ่ายช่วงติดตั้งร้านกว่า 6 แสนโครนลงภายในระยะเวลา 6 เดือน (เจ้าของทำงานแบบไม่เอาเงินเดือนอยู่ประมาณ 4 เดือน) ปัจจุบันทุกอย่างก็เข้าระบบบ้างแล้ว ทำงานอย่างสบายใจขึ้น มีเวลาพักผ่อนมากกว่าแต่ก่อนก็เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆค่ะ ภูมิใจที่ตัวเองฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้ เพราะความอดทนและมุ่งมั่นจึงทำให้เราเดินมาถึงจุดนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ใช่จุดที่ประสบความสำเร็จที่สูงสุดก็ตามพอใจกับการใช้ชีวิตที่นอร์เวย์มากน้อยแค่ไหนคะค่อนข้างพอใจกับการใช้ชีวิตที่นี่ค่ะ อยู่กันสองคนกับสามีและหมาตัวใหญ่ๆอีก 6-7 ตัว ไม่มีลูกด้วยกันและไม่มีลูกติดทั้งสองคน เลยใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำงานทั้งคู่ ที่ชอบนอร์เวย์เพราะอากาศที่บริสุทธิ์ผู้คนเป็นมิตร สงบ ปลอดภัย สวัสดิการรัฐหลายอย่างที่เราหาไม่ได้ในบ้านเรา ส่วนที่ไม่ชอบนักและไม่ค่อยชินก็คงเป็นช่วงหน้าหนาวที่อากาศหนาวจัดอุณภูมิติดลบและช่วงหิมะตกหนักขับรถลำบากหน่อย :) (ยิ้ม ยิ้ม)มีเรื่องราวที่น่ารักๆ ของมายที่บริจาคผมให้ผู้ป่วยมะเร็งด้วยเป็นคนรักผมและชอบไว้ผมยาวมาตลอดค่ะ จะตัดทิ้งก็เสียดาย แต่ไว้ยาวมากก็ลำบากในการดูแล เคยอ่านผ่านๆตามาว่ามีการรับบริจาคเส้นผมเพื่อนำไปทำวิกผมให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ รพ. จุฬาภรณ์ ก็เลยค้นหาที่อยู่และส่ง EMS ไปบริจาคค่ะ
รู้สึกยังไงบ้างคะตอนที่ช่างกำลังตัดผมที่ไว้มาหลายปี ยาวสลวยสวยงาม
ตอนตัดไม่รู้สึกเสียดายค่ะเพราะรู้ว่าเราไม่ได้ตัดทิ้ง แต่เรากำลังจะช่วยให้ผู้ป่วยที่เขาต้องการใช้ผมเรา ก็เลยไม่เสียดายแต่รู้สึกปลื้มใจมากกว่าที่ผมเรามีประโยชน์ต่อคนอื่น
จำวันที่ตัดบริจาคครั้งแรกได้ดีเลยค่ะ เจ้าของผมไม่รู้สึกเสียดายผมที่กำลังจะถูกตัด แต่ช่างตัดผมถามแล้วถามอีกว่าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะตัด ก็ตอบอย่างมั่นใจว่า "มั่นใจค่ะ ตัดเลย คุณก็จะได้มีส่วนร่วมในการทำบุญกับเราด้วย" วันนั้นตัดออกสั้นมากเหลือแค่ไหล่ รู้สึกเบาหัวมากค่ะ และตั้งใจว่าจะบริจาคเส้นผมตัวเองตลอดไปถ้าเส้นผมยังมีสุขภาพผมดีพอที่จะบริจาคได้ค่ะ
มีคำแนะนำอะไรสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากจะบริจาคผมบ้างคะ ถ้าใครอยากบริจาคเส้นผมทำวิกช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง ให้ดูแลและรักษาสภาพเส้นผมให้ดี อย่าทำสีหรือใช้สารเคมีเพราะไม่งั้นจะใช้ทำวิกให้ผู้ป่วยไม่ได้ ถ้าใครอยากบริจาคลองเช็คข้อมูลในกูเกิ้ลนะคะ เขาจะมีเปิดรับบริจาคเป็นช่วงๆ ถ้าช่วงไหนมีคนบริจาคเยอะแล้วเขาก็มีช่วงปิดรับเหมือนกันค่ะเรื่องที่หลายคนอาจจะสงสัย รวมทั้งพี่ด้วย คือ มาย เป็นคนที่มีข้อมูลของเรื่องต่างๆ เยอะมาก ทั้งเรื่องกฎหมายอีกสารพัด มีคนตั้งคำถาม มายก็จะเข้ามาตอบ เป็นมาเป็นไปยังไงคะจุดเริ่มต้นเลยคือมีว่าที่สามีเป็นคนนอร์เวย์ สารภาพตามตรงเลยค่ะว่าไม่รู้จักประเทศนอร์เวย์และอุปนิสัยใจคอของคนประเทศนี้เลย ก็เลยเริ่มเข้ากูเกิ้ลค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ พออ่านๆไปก็เกิดความสนใจและค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้นค่ะ
ในตอนนั้นค้นไปเจอเวปไซท์หนึ่งที่สาวไทยและหนุ่มไทยมีแฟนและสามีชาวต่างชาติรวมถึงคนที่ใช้ชีวิตต่างแดนร่วมกันแบ่งปันข้อมูลกันอยู่ เลยเข้าไปอ่านและพอมีประสบการณ์บ้างก็ร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนใหม่ๆที่เข้ามาค่ะ เลยนั่นคือจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนอร์เวย์กับเพื่อนๆคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ บางครั้งก็งงตัวเองเหมือนกันว่าทำไมมานั่งตอบข้อมูลคนอื่นได้ทุกวันนะ แต่ก็สังเกตุตัวเองว่าเวลามีคนมาโพสต์ถามอะไร ถ้าเราไม่รู้เราก็อยากรู้ อยากได้คำตอบเหมือนกัน เลยเป็นที่มาของการค้นข้อมูลมาตอบ ทำมาเรื่อยๆจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็น "จิตอาสา" ไปแล้วค่ะแหล่งของข้อมูลละคะมาจากไหนบ้างข้อมูลส่วนใหญ่ก็ค้นคว้ามาจากห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ นั่นก็คือ "กูเกิ้ล" ฮ่าๆๆ อยากรู้อะไรให้ถามกูเกิ้ล ถ้ารู้จักใช้คำในการค้นคว้า ไม่ว่าจะภาษาไทย อังกฤษ หรือนอร์วีเจี้ยนก็ตาม เราก็จะได้คำตอบมากมาย หนังสือก็มีประโยชน์แต่บางเรื่องอาจจะไม่อัพเดทตามกาลเวลานัก ประสบการณ์ตัวเองก็สามารถนำไปแบ่งปันข้อมูลหรือให้คำแนะนำคนอื่นได้มากทีเดียวค่ะคาดหวังไหมคะว่าคนที่เราให้ข้อมูลไปเขาจะนำไปใช้ก็หวังว่าทุกคนที่ได้ข้อมูลไปจะนำไปพิจารณาและนำไปใช้ประโยชน์ให้ตรงกับความต้องการของตัวเองค่ะ บางครั้งข้อมูลที่เราให้ไปอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ถ้าจะหาจากแหล่งข้อมูลอื่นมาเปรียบเทียบด้วยก็จะดีทีเดียวค่ะ มีหลายเรื่องที่ เจ้าหน้าที่ในแต่ละเมืองหรือคอมมูนพิจารณาไม่เหมือนกัน ถ้าต้องการความแน่นอนต้องติดต่อหน่วยงานนั้นๆ เพื่อยืนยันคำตอบอีกทีจะดีมาก
มายมีจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตอะไรบ้างคะจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตก็จะมีหลายครั้งนะคะ ครั้งแรกก็ตอนที่ได้มีโอกาสได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายค่ะ ตอนแรกเกือบไม่ได้เรียนต่อเพราะฐานะทางบ้านไม่ดี พ่อกลัวจะไม่มีเงินส่งเรียน แต่โชคดีที่น้าชาย(น้องชายแม่) ที่รับราชการทหารอยู่ที่จังหวัดทหารบกสระบุรี และน้าสะใภ้รับมาอยู่ด้วย และน้าๆได้ช่วยพ่อกับแม่ส่งเรียนจนจบชั้น ม. ปลาย และทำให้มีโอกาสเรียนต่อจนจบระดับปริญญาตรีจนมีงานทำ นึกย้อนไปว่าถ้าไม่ได้เรียนต่อในวันนั้น เราคงไม่ได้มีโอกาสได้ทำงานดีๆ ได้เจอคนดีๆและมีสังคมที่กว้างขึ้นแบบปัจจุบันนี้จุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็คือได้พบรักกับสามี ทำให้เราได้มาใช้ชีวิตในต่างแดน ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอีกแบบและได้ประสบการณ์แปลกใหม่มากมาย อะไรที่ไม่เคยทำในเมืองไทยก็ได้ทำ ทำให้เรามีรายได้มากพอที่ส่งไปเลี้ยงดูพ่อแม่ที่เมืองไทย ทำให้พ่อแม่ภูมิใจและมีความสุขกายสุขใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อนชีวิตมีขึ้นมีลงเน๊าะ ช่วงขาลงบอกกับตัวเองยังไงบ้างคะเวลาเหนื่อยหรือท้อ จะนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ค่ะ พ่อแม่มีลูก 3 คน เราเป็นลูกคนโตและเป็นลูกสาวคนเดียวในบ้าน เป็นที่พึ่งหลักของพ่อกับแม่ ดังนั้นถ้าเราอยากให้พ่อแม่เราอยู่ดีกินดีมีความสุขเราก็ท้อไม่ได้ นึกเสมอว่า ความสุขของพ่อแม่คือความสุขของเรา ตอนเรียนหนังสือพ่อแม่ลำบากมากเพื่อหาเงินส่งให้เราเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ดังนั้นทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อยและท้อพ่อแม่คือยาวิเศษย์ที่ทำให้เรามีแรงสู้ต่อไปทัศนคติในการใช้ชีวิต - ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ต่อผู้อื่นและต่ออาชีพที่เราทำ แล้วจะทำให้เราไม่มีเรื่องกังวลใจหรือมีความหวาดระแวงใดๆ- พยายามทำความดีให้มากและทำชั่วให้น้อยที่สุด (ถ้าทำได้)- อุปสรรคที่เข้ามาแต่ละวัน ถือว่าเป็นบททดสอบการใช้ชีวิตของเรา เราต้องผ่านมันไปให้ได้- ถ้าเราขยัน อดทน เราก็ไม่อดตาย
มาถึงสิ่งที่มายภูมิใจดีกว่า เป็นเรื่องอะไรคะ สิ่งที่ภูมิใจที่สุดที่ได้ทำแล้วก็คือจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ซึ่งทำให้พ่อแม่ภูมิใจมาก และการที่ได้ทำให้พ่อแม่มีความสุข มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอะไรคือการพักผ่อนสำหรับมายการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการได้มีเวลาว่างจากการทำงาน ได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับสามีค่ะ แต่ปัจจุบันก็หาเวลาพักผ่อนค่อนข้างยากเพราะต้องดูแลร้านเอง ทำงานเสร็จหลังเที่ยงคืนก็บ่อยๆ เมื่อกลับถึงบ้านคือเวลาพักผ่อน นอนบนโซฟาพร้อมไอแพดอันหนึ่งค้นข้อมูลและตอบคำถามเพื่อนๆที่ถามมาทางข้อความและตามเพจ นี่ก็คือการพักผ่อนอีกแบบค่ะ :)ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีคนกี่คนเข้ามาในชีวิตเราบ้าง ที่ให้เราได้เรียนรู้ ได้ข้อคิดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้พบเจอใครใหม่ๆ นอกจากลูกค้าที่ร้านค่ะ ตั้งแต่เปิดร้านมาได้พบเจอลูกค้าหลากหลายนิสัยใจคอ ได้เรียนรู้ว่าคนนอร์ชส่วนหนึ่งแพ้ส่วนผสมในอาหาร พวกแป้ง หัวหอม ถั่ว เป็นต้น ไม่ค่อยเจอในลูกค้าคนไทยที่บ้านเรานะ คนนอร์ชส่วนหนึ่งไม่ชอบลองทานอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ทานแต่เมนูเดิมๆ อาจกลัวว่าซื้อเมนูใหม่ๆ ไปแล้วไม่อร่อยมั้งคะ
งานอดิเรก
กิจกรรมพิเศษช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำค่ะเพราะทำงานแทบทุกวัน แต่ก่อนชอบตามสามีไปงานประกวดหมาในเมืองต่างๆของนอร์เวย์ บางครั้งก็ได้ช่วงสามีจูงหมาโชว์ในสนามด้วยเพราะบางทีหมาที่เอาไปหลายตัว ชนะเกือบทุกตัวต้องหาคนช่วงจูงในโชว์ด้วยIdol คนต้นแบบIdol ที่ยึดเป็นต้นแบบคือในหลวงของเราค่ะ บั้นปลายชีวิตอยากทำเกษตรแบบพอเพียงแบบในหลวงที่ได้พระราชทานแนวทางไว้Idol อีกคนคือแม่ค่ะ แม่เป็นคนอดทน ขยันและรักและห่วงลูกๆมาก ตอนนี้แม่อายุก็มากแล้วแต่แม่ยังไม่ยอมหยุดทำงานเลย ก็อยากมีความอดทนและขยันเหมือนแม่อะไรที่เราบอกตัวเองว่า ฉันจะไม่ทำมันเด็ดขาดสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำคือ เสพย์ยาเสพย์ติด เสพย์ของมืนเมาเพราะมันทำให้ขาดสติ ทำลายชีวิตและอนาคตค่ะ
สิ่งที่อยากทำ
สิ่งที่ตั้งใจอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำคือ อยากให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน ตอนที่เรียนอยู่ระดับ ม. ปลาย ที่โรงเรียน สระบุรีวิทยาคม จ.สระบุรี เคยได้รับคัดเลือกให้เข้ารับทุนเรียนดีแต่ยากจน ตอนนั้นดีใจมากค่ะใช้เงินทุกบาทอย่างคุ้มค่าเลย เป็นจุดที่ทำให้เรามีความคิดว่า ถ้าสักวันหนึ่งถ้าเรามีเงินมากพอ เราจะมอบทุนให้กับนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจนบ้าง ตอนนี้ความฝันก็ใกล้จะเป็นความจริงแล้วค่ะอีกอย่างที่อยากทำคือถ้าวันหนึ่งมีมีเวลาว่างแล้วและมีเงินพอเลี้ยงตัวเองไม่เดือดร้อน อยากเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิที่เข้าไปช่วยเหลือคน เช่น มูลนิธิกระจกเงา ไม่ได้คิดจะทำแบบ 100% แต่ถ้ามีเวลาก็จะขอเป็นอาสาสมัครค่ะ รอดูว่าความฝันนี้จะเป็นจริงไหม ต้องทำงานเก็บเงินให้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวไปก่อนก่อนที่จะไปช่วยคนอื่นได้คำถามที่มายถามตัวเองบ่อยๆ โดยปกติจะนึกถึงความรู้สึกคนอื่นก่อนตัวเอง บางครั้งก็ลืมทำอะไรเพื่อตัวเอง ก็เคยถามตัวเอง(ในใจ)อยู่บ่อยๆว่าเราทำอะไรเพื่อตัวเองมากพอหรือยังอยากบอกอะไรกับคนที่กำลังอ่านเรื่องของเราอยู่คะอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านมีกำลังใจในการสู้ชีวิต ถ้าเราท้อก็ให้พยายามนึกถึงคนที่เรารักที่สุดหรือคนที่เราอยากให้เขามีความสุข ที่สุด นึกถึงอนาคตที่เราอยากให้เป็น แล้วเราจะมีกำลังสู้ต่อไปค่ะ คนเราเกิดมาต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน พยายามอย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เหนือกว่าเราเพราะมันจะทำให้เราท้อและไม่มีกำลังใจ บางคนผ่านชีวิตผ่านปัญหาหรืออุปสรรคมาเยอะจนกว่าเขาจะมายืนตรงจุดที่เราเห็นได้ ดังนั้นชีวิตเรากับชีวิตเขาย่อมต่างกันอยากฟังเรื่องราวของใครเป็นพิเศษไหมคะทุกคนมีเรื่องราวชีวิตที่น่าติดตามทั้งหมดค่ะ ขอเป็นแฟนคลับเพจ Inspiring Stories Worldwide และติดตามอ่านเรื่องราวของทุกคนที่แอดมินจะนำมาลงนะคะต้องขอขอบคุณแอดมินพี่ชุณห์ที่ให้เกียรติมายได้มาเล่าเรื่องราวชีวิตธรรมดาๆ ของตัวเองให้เพื่อนๆ ได้อ่าน
ขอบคุณน้องมายด้วยค่ะที่สละเวลามาเล่าเรื่องราวที่น่ารัก น่าสนใจให้เราได้อ่านกัน ขอให้กิจการรุ่งเรื่องและได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำเร็วๆ นี้ค่ะ