mandag 12. september 2016

พี่แหม่ม คนใจแกร่ง


สวัสดีค่ะ หลังจากที่ผู้เขียนติดภาระกิจยาว ก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวของพี่แหม่ม คุณแม่ที่ตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งที่เมืองไทย จากลูกๆ มาด้วยใจที่เจ็บปวดแต่เด็ดเดี่ยว มาถากถางเส้นทาง ต่อสู้ชีวิตอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ ด้วยใจมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายหลักของเธอ คือ ลูก

เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ เบื้องหลังของภาพอันสวยงามที่ใครต่อใครเห็นอยู่ในเฟสบุค เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาจนมีรอยยิ้มในวันนี้





สวัสดีค่ะ พี่แหม่ม ไม่ทราบว่าพี่แหม่มมาอยู่นอร์เวย์ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
พี่แหม่ม: พี่มาอยู่ตั้งแต่ปี 2006 ค่ะ ตอนนั้นมันไม่มีแรงบันดาลใจอะไรที่จะให้เราต่อสู้ดิ้นรนที่เมืองไทย และก็คิดว่า การตัดสินใจทิ้งลูกๆ ไว้ที่เมืองไทยในคราวนั้น ไม่ใช่ไม่รักไม่เสียใจ แต่พี่ต้องการจะพาตัวเองมาถากถางเบิกทางไว้ให้เขาได้มีชีวิต มีอนาคตที่ดีขึ้น ตัดสินใจแน่วแน่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในสมองและจิตใจพี่มีแต่ลูก พี่คิดเสมอว่าพี่ขอเดินหน้าทำเพื่อลูก

พี่มีลูกกี่คนคะ แล้วพี่มาอยู่นานไหม๊คะถึงได้ทำเรื่องพาลูกๆ มาอยู่ด้วย
พี่แหม่ม: พี่มีลูกชาย 3 คนค่ะ  พี่พามาอยู่ด้วยคือคนรองกับคนเล็ก เดือนกันยายน ปี 2007 ค่ะ ที่ลูกๆ ตามมา ตอนนั้นน้องช้อปเปอร์ อายุ 14 ย่าง 15 ส่วนน้องชาร์ปคนเล็ก 10 ย่าง 11 ขวบ



พอลูกๆ มาอยู่ด้วย ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นยังไงบ้างคะ 
พี่แหม่ม: พอลูกๆ มาอยู่ด้วยก็มีความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวเกิดขึ้นค่ะ ลูกๆ ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อเลี้ยงนัก ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนใครๆ ส่วนพี่ก็ทำงาน จนอดีตสามีเขาบอกกับลูกว่า พี่เอาแต่ทำงาน แต่ลูกพี่ก็บอกไปนะคะว่า ถ้าพี่ไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่า พี่จ่ายค่าเช่าทุกเดือน ไม่เคยเอาเปรียบเขาเลย

พี่หางานทำตั้งแต่ตอนที่พี่มาถึงใหม่ๆ เลย ลูกยังไม่มา เรียนหนังสือก็หัวไม่ไป ภาษาก็ได้บ้าง ไม่ได้ซะส่วนใหญ่ (หัวเราะ)  พี่ทำความสะอาด เก็บสะสมเงินค่าเครื่องบินให้ลูกๆ  มีงานที่ไหนพี่ไปทำหมดค่ะ หลายที่ นั่งรถบัสคันนี้ ไปต่ออีกที่ รอรถเมล์คันโน้น  พี่รับทำงานหลายที่จนได้ครบวันละ 8 ชั่วโมงค่ะ เช้ายันค่ำมืด มีงานที่ไหนให้ทำต่อ พี่ก็ทำหมด (ยิ้ม) พี่ใช้แรงงานแลกเงิน เพราะไม่ได้ภาษา

แต่พี่สอนลูกๆ นะคะ ให้ตั้งใจเรียนภาษา ภาษาต้องได้ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง และลูกเขาก็เก่งมากๆ ค่ะ เด็กๆ ขยัน พี่เขาก็ช่วยสอนน้อง ภาษาแซงแม่ไปไกลเลย

ลูกๆ มาอยู่กับพี่ได้ประมาณ 6 เดือน ฝ่ายอดีตสามีก็ย้ายออกจากบ้าน คือ เขาย้ายออกจากบ้านที่เราเช่า พี่กลับมาถึงบ้านช็อคมาก เพราะในบ้านไม่เหลืออะไรเลย  คืนนั้น เรามีผ้าห่มผืนเดียว ที่จะห่อเราสามคนแม่ลูกไว้ด้วยกัน  ก็ยังดีที่เขาทิ้งผ้าห่มไว้ให้ตั้งหนึ่งผืน 

คืนนั้นแทบจะนอนไม่หลับ พี่ร้องไห้ กอดลูกๆ ทั้งสองไว้  ลูกๆ ก็ร้องไห้หลับไปกับคราบน้ำตา มองดูลูกแล้วสงสารลูกเหลือเกิน  พี่บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ จากนี้ไปจะต่อสู้ทุกอย่างเพื่อลูก พี่นึกถึงสายตาของลูกๆ พี่จะอดทนเพื่อเขา 

ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงย้ายออกไปคะ
พี่แหม่ม: แรกๆ เรื่องราวมันก็ไม่ค่อยชัดเจนอะไร จนกระทั้งอยู่กันไปสักพัก ก็รู้สึกว่าอดีตสามี พาเราย้ายบ้านบ่อย อยู่ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนที่ย้ายไปเมืองใหม่อีกแล้ว พอตอนหลังพี่ไม่ไหว ไม่ตามใจเขา พี่โดนเขาทำร้ายครั้งแรกซึ่งตอนนั้นเขาเมา เราก็ให้อภัยเขานะ เพราะคิดว่าเขาคงดีขึ้นคงไม่ทำอีก  แต่พอเราต้องย้ายอีก พี่ก็รู้สึกสับสน ในความคิดตอนนั้นคือ เฮ้ย ทำไมเราต้องย้ายไปย้ายมา มัวแต่นั่งคิด เลยไม่คุยกับเขาตอนที่เรานั่งรถขนของกำลังย้ายไปอีกเมือง เขาก็เอามืดฟาดมาที่หน้าอกเราอย่างแรง พี่ไม่ได้ระวังตัว ไม่ทันตั้งรับ ก็เจ็บมากๆ นะ ทั้งจุกทั้งเจ็บ

หลังจากเราย้ายมาอยู่ที่เมืองใหม่แล้ว ก็ไม่ขอย้ายอีก เขาก็ไม่พอใจ บางทีเขาก็ไปทำงานต่างจังหวัด  บางวันกลับ บางวันก็ไม่กลับ ตอนนี้เริ่มมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาในชีวิตแล้ว  ตอนนั้นพี่ก็ด่าว่าเขาเหมือนกันนะ พี่เองก็ขาดสติ เสียใจที่ทำแบบนั้น แต่พี่พยายามประคับประคองชีวิตครอบครัว อลุ่มอล่วย อะไรที่ยอมได้ก็ยอม 

ระหว่างที่ลูกๆ มาอยู่ด้วยแล้วสักพัก ก็ไปเห็นการกระทำ เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะไม่ควรของอดีตพ่อเลี้ยง ก็เลยมาเล่าให้แม่ฟัง  พี่ก็ต่อว่าเขา จากนั้นเขาก็เดินลิ่วเข้าไปกระชากคอเสื้อลูกชายพี่ จับคอเสื้อเงื้อมมือจะต่อย พี่ปัดมือเขาออกจากตัวลูก เอาตัวเข้าขวางลูกไว้  คือ ถ้าทำอะไรลูกฉัน ก็เอาไงเอากัน คือตายก็ตาย จากนั้นเขาก็ถอย แล้วบอกว่าเขาขอคุยดีๆ  พี่ก็ไปคุยกันที่ห้องรับแขก

คือไม่ทันได้คุยหรอกค่ะ เข้าไปถึงพี่ก็โดนบีบคอจนไม่รู้สติ หน้ามืด ไปเลย คือมาทราบเรื่องตอนลูกเล่าให้ปากคำ ลูกบอกว่าตอนนั้นเห็นพ่อเลี้ยงจับร่างแม่เขย่าลอยไปมาเหมือนตุ๊กตา 



พี่ไปแจ้งความหรือขอความช่วยเหลือจากใครบ้างไหมคะ
พี่แหม่ม: พี่ไปขอความช่วยเหลือจาก Krisesenter ค่ะ เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง  พี่เล่าให้คนใกล้ชิดที่พี่ไว้ใจฟัง บางทีมันทุกข์มากๆ เราก็ต้องการให้มีใครสักคนรับฟัง ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเราก็พยายามประคับประคองครอบครัว 

หลักฐานการโดนทำร้าย รอยเขียว รอยช้ำ พี่ถ่ายรูปเก็บไว้หมด  และเอกสารสำคัญ พี่ไม่เคยเอาไว้ในบ้านเลย พี่ฝากคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ต หรือเอกสารสำคัญต่างๆ ฝากเขาไว้ 

ทำไมเอาเอกสารสำคัญไปฝากไว้กับคนอื่นคะ
พี่แหม่ม: พี่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อดีตสามีจะยึดเอาเอกสารของเราไปเพื่อกดดันเรา ทำให้ไม่มีทางออกก็อาจจะเป็นไปได้ มันสับสนและไม่ไว้ใจเขา ทันทีที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย พี่จะไม่เอาเอกสารสำคัญไว้ในบ้านเลย 

ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้วีซ่าถาวรใช่ไหมคะ
พี่แหม่ม: ยังอยู่ไม่ครบสามปีค่ะ เรื่องเกิดก่อนการยื่นขอวีซ่าครั้งที่สาม



รู้สึกกังวลไหมคะ กลัวว่าเรื่องจะไม่ผ่าน เราจะไม่ได้อยู่ต่อ อาจจะถูกส่งกลับไทย
พี่แหม่ม: มีความกังวลบ้าง แต่ในหัวพี่มันคิดบวกเยอะกว่านะ พี่คิดว่า ความยุติธรรมต้องมี  พอถึงเวลายื่นเอกสารขอต่อวีซ่า พี่ก็ยื่นไปตามปกติ พี่ได้ทนายที่ Krisesenter รวบรวมเอกสารให้ และได้รู้ว่าอดีตสามียื่นเรื่องขอแยกทางจากพี่ได้สักพักแล้ว  พี่ต้องใช้เอกสารเยอะมาก เอกสารเงินเดือน สัญญาเช่าบ้าน หนังสือรับรองจากโรงเรียนของลูกทั้งสอง หนังสือรับรองจาก Krisesenter จดหมายจากเพื่อนที่รู้จักเรา เอกสารการสอบปากคำจากตำรวจ เป็นแฟ้มหนามากค่ะ  และพี่ก็รออยู่ 7-8 เดือน ก็ได้รับการตอบกลับว่าเราแม่ลูกอยู่กันได้โดยไม่ต้องมีสามีค้ำประกัน 



อะไรคือกำลังใจสำคัญในช่วงที่เผชิญกับวิกฤตของชีวิต
พี่แหม่ม: ลูกค่ะ ทุกลมหายใจของพี่บอกกับตัวเองว่า อดทน อดทน เพื่อลูก แม่จะเป็นบันไดไม้ให้ลูกได้ปีนขึ้นสูงที่สุดเท่าที่ลูกต้องการ ก่อนที่บันไดอันนี้จะผุพังลง แม่จะอดทนให้ถึงที่สุด

พี่อยู่ได้เพราะพวกเขา แม้ว่าบางครั้งจะเหนื่อยแทบขาดใจ แทบเสียสติ คิดเอาชีวิตตัวเองก็เคยมาแล้ว ทำงานดึก บ้านไม่มีรถผ่าน หน้าหนาว เดินขึ้นเขา น้ำตาไหล จุกในหัวใจ เปิดประตูบ้านปุ๊บ คนน้องยื่นน้ำให้แม่ คนพี่ยื่นอาหารให้แม่ มันจะทิ้งเขาไปได้ยังไง

พี่อุทิศชีวิตเพื่อลูก เราสร้างเขามาแล้ว ต้องรับผิดชอบชีวิตเขาให้ดีที่สุด เรามีเงินอยู่ 20 โครน เราหิว แต่ถ้าเราเพิ่มอีก 6 โครนก็ได้อาหารให้เราทั้งสามชีวิต พี่ก็เก็บความหิวเอาไว้จนถึงบ้าน 


พี่สอนลูกๆ ยังไงบ้างคะ
พี่แหม่ม: สอนเขา ผ่านการปฏิบัติตัวของพี่เอง เราไม่ดื่ม ไม่เที่ยว มีความสุข อดทน มีเหตุมีผล อยู่ในความเป็นจริง ไม่ได้สอนให้เขาเพ้อฝัน แต่เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขา สอนให้เขาทำงานเอง ใช้ชีวิตจริงเพื่อที่จะได้สัมผัสกับความหวานความขมของชีวิต เพื่อสานฝันของเขาให้เป็นจริงด้วยตัวเขาเอง พี่สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล 5 เราต้องดีก่อน เราถึงจะสอนลูกได้

ปลอบใจ สร้างกำลังใจให้ตัวเอง
พี่แหม่ม: พี่สวดมนต์ค่ะ ช่วยแก้ทุกข์ อบอุ่นใจ สวดไป ร้องไห้ไป จนหนังสือสวดมนต์เปียก เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพี่ พอใจพี่สงบ ก็มีสติ ไม่ฟุ้งซ่าน จากนั้นพี่ก็จะมองเห็นทางออก ที่เขาเรียกว่าปัญญา หาทางออกให้กับชีวิตได้


พี่รู้สึกยังไงกับตัวเองบ้างตอนนี้
พี่แหม่ม: พี่ภูมิใจในตัวเองค่ะ ทำงานหนัก แต่มีพลัง ลูกคือพลังแห่งรัก เสียงหัวเราะ คำพูดของลูก ทำให้มีกำลังใจ ท้อแท้แต่ได้ลูกเป็นพลัง 100 เท่า บอกไปเลยมาเถอะปัญหา ใหญ่แค่ไหนก็มา ฉันมีภูมิต้านทาน (หัวเราะ) ที่เมืองไทยก็ทำงานหนัก ไม่มีอะไรต้องกลัว

ข้อความของลูกให้แม่


หลังจากที่ต่อสู้มานานเด็กก็โตแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ
พี่แหม่ม: ตอนนี้ผ่านอุปสรรค หายเหนื่อย ได้เห็นความสำเร็จของลูก ในวันนี้ช้อปเปอร์ทำงานให้สายการบิน Norwegian Airlines และกำลังจะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนชาร์ปทำงานให้กับ SAS Scandinavian Airlines ค่ะ ความอดทนเป็นสิ่งที่ขมขื่น แต่ผลออกมาหวานชื่นเสมอ




ใครคือไอด้อลคะ
พี่แหม่ม: แม่ค่ะ แม่เป็นหม้ายตั้งแต่พี่ห้าขวบ พ่อเสียชีวิต แม่เลี้ยงลูกคนเดียว แม่ประหยัด อดออม การปฏิบัติตัวของแม่ แม่ถือศีลและสวดมนต์ตลอด เข้มแข็ง ทุ่มเทความรักให้ลูก แม่เป็นตัวอย่างเรื่องการทำบุญ การเป็นคนดี การไม่อิจฉาริษยาใคร เราถูกซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

ฝากให้กำลังใจกับคนที่คิดว่าชีวิตเขาไม่มีทางออก
พี่แหม่ม: ก่อนอื่นพี่อยากจะขอบคุณพี่หนู พี่เก่ง ที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้ตลอด อยากขอบคุณอดีตสามีที่มีส่วนช่วยให้ลูกเราได้มาอยู่ที่นี่ 

พี่อยากจะบอกว่า คนที่มีปัญหาครอบครัว ไม่ต้องกลัวที่จะไปคุยกับ Krisesenter เขาเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ทุกเรื่อง เขามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือคนมาหลากหลายสถานการณ์ เข้าให้ข้อมูลและคำแนะนำในแนวลึกได้ ทันทีที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย กังวล ให้ไปติดต่อได้เลย ไม่ต้องอาย  คุยกับคนที่ไว้ใจได้ คุยให้ถูกคน มองดูว่าใครพอจะรับฟังเราได้ ให้คำแนะนำเราได้ บางครั้งเราต้องการกำลังใจ เราต้องมีคนคุยด้วยอย่ากลัวว่าใครจะมองว่าเราเป็นคนมีปัญหา อับอาย ไม่มีชีวิตใครสมบูรณ์แบบทุกอย่างค่ะ 


ขอขอบคุณพี่แหม่มที่สละเวลามาแบ่งปันประสบการณ์เล่าสูกันฟังในครั้งนี้ด้วยค่ะ และก็ยินดีด้วยมากๆ กับความสำเร็จของลูกๆ พี่แหม่มทุกๆ คน